วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

นอบน้อมถ่อมตน แพ้คือชนะ

คนเราทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ และปรารถนาการบงการ กล่าวกันว่า "นกกระจอกแม้ตัวเล็กแต่มีอวัยวะครบ" คนเรามักรักศักดิ์ศรีอย่างรุนแรง อีกทั้งแสดงอาการหุนหัวและดึงดัน การจะข่มมันลงได้ คงไม่ใช่เรื่องยาก
ข้าพเจ้าเดิมมีอาการหยิ่งผยอง จองหองเป็นที่สุด เมื่อก่อนไม่เคยยอมอ่อนข้อ แต่เดี๋ยวนี้หากได้เรียนรู้ชีวิตการทำงานและการดำเนินชีวิต มีการปรับตัวปรับใจ ตอนนี้กับเมื่อก่อนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนเรามีอาการหุนหันและดึงดัน เพราะทุกคนต่างคิดว่าตนเองถูกต้อง ทุกครั้งมักจะคิดเข้าข้างตนเองเสมอ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องถูกต้อง หากพูดเรื่อง "อ่อนน้อมถ่อมตน แพ้คือชนะ" กับคนที่อยู่ในอาการดังกล่าว พวกเขาย่อมไม่เข้าใจ เพราะนี่เป็นคำพูดของคนมีสติ
อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างคนมีสติกับอารมณ์ความรู้สึกการดำรงอยู่ "จำเป็นด้วยหรือที่เราต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้"
"แพ้คือชนะ"
"สามสิบหกกลยุทธ์ ถอยคือยอดกลยุทธ์"
"ยอมแพ้ชั่วคราว นำมาซึ่งชัยชนะในภายหลัง"
"ถูกคนอื่นตี กลางคืนนอนหลับดี"


การอ่อนน้อมถ่อมตน สำหรับชาวญี่ปุ่น ถือเป็นสูตรเข้าสังคมที่มีลักษณะความรู้ทั่วไป นี่คือมารยาทที่เกิดจาก"ความคิดที่ว่าง"
นอบน้อม (1)ปล่อยความคิดจิตใจให้ว่าง ไม่ร้อนรน ไม่ก้าวร้าว คำพูดและการกระทำเป็นแบบอนุรักษ์ รู้จักสำรวม (2)ตามหลักคำสอนทางศาสนานั้น ต้องสำนึกตนว่าเป็นคนบาป อ่อนแอและไร้พลังต้องขึ้นต่อเจตจำนงของเทพเจ้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
"ถ่อมตัว" กดตัวเองให้ต่ำ ซึ่งคือสงบเสงี่ยมเจียมตัว
การไม่อ่อนน้อมถ่อมตน ย่อมนำมาซึ่งความเสียหาย การไม่ยอมรับของสังคม เหมือนมีชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่ท่านเคยพูดว่า "คนอะไรไม่รู้จักความ รู้จักแต่หนังสือใช่ว่าจะเอาตัวรอด" เพราะความเหย่อหยิ่งเหมือนปูผู้ชอบอวดก้ามปูอันใหญ่ พลอยมีแต่คนหมั่นไส้ ย่อมอยากจะหักก้ามปูอันใหญ่นั้นเสีย"
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ก็กลับมาถ่อมตัวดีกว่าแข็งกระด้างกันดีกว่าค่ะ ถ้าไม่เช่นนั้นสังคมคงจะร้อนเป็นไฟ เพราะการไม่ลดราวาศอก ไม่ยอมอ่อนน้อมถ่อมตน

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ผูกกายไว้ด้วยใจ


ชีวิตคนเรานั้น มีส่วนสำคัญคือกายกับใจรวมกันเข้าเป็นตัวเรา
ถ้าร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพที่ปกติ ชีวิตจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีความสุข
แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของเราจะไม่เจ็บป่วย ไม่ทรุดโทรม
เพราะลักษณะของสังขารคือ สิ่งที่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างมารวมกัน ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกัน
ซึ่งธาตุแต่ละอย่างก็เปลี่ยนแปลงไม่เที่ยงแท้แน่นอน
และเป็นธรรมดาที่ร่างกายของเราต้องแปรเปลี่ยน
หรือป่วยไข้ ไม่สบายไปตามเหตุและปัจจัยที่เกื้อหนุน ทั้งจากภายในตัวเราและภายนอกตัวเรา ด้วย

ข้อมูลจากข่าวกรมสุขภาพจิต ISSN 0125-6475 แนะนำว่า
เมื่อกายป่วยจิตใจก็พลอยไม่สบาย หงุดหงิด ทุกข์กังวลใจไปต่างๆ นานา
เครียดทำให้ร่างกายที่เจ็บป่วยยิ่งอ่อนแอลง ภูมิต้านทานของร่างกายแย่ลง
พระพุทธองค์ทรงค้นคว้าเรื่องชีวิตไว้มากมาย ทรงหาหนทางที่จะช่วยให้คนพ้นทุกข์และอยู่อย่างเป็นสุข
พระองค์เคยพบคนที่ร่างกายเจ็บป่วย และตรัสสอนว่า ให้ทำในใจ
คือตั้งใจไว้ว่าแม้ร่างกายเราจะป่วย แต่ใจของเราจะไม่ป่วยตาม

การตั้งใจอย่างนี้เรียกว่า การภาวนา
โดยเอาสติผูกใจไว้ ไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของความแปรเปลี่ยนทางร่างกาย
เมื่อใจมีสติตลอดเวลาก็เท่ากับมีพลังอำนาจเหนือความเจ็บป่วยนั้นได้

การผูกใจด้วยสติ คือ เอาจิตของเราไปผูกไว้กับสิ่งที่ดีงามผูกยึดไว้ด้วยหลักธรรม
ด้วยธรรมชาติของจิต ชอบปรุงแต่ง เมื่อกายไม่สบายจิตก็ปรุงแต่งตามความไม่สบายนั้น
ทำให้ยิ่งเพิ่มอาการเจ็บป่วยมากขึ้น
ฉะนั้น เราจะต้องรักษารากฐานของชีวิตไว้ ด้วยการรักษาจิตใจให้เข้มแข็งมีสตินั่นเอง
ส่วนการรักษาโรคทางกายก็เป็นหน้าที่ของแพทย์ ซึ่งเราต้องให้ความร่วมมือและปฏิบัติโดยเคร่งครัด

การรักษาจิตขณะกายป่วย คือ การรักษาสติ เพราะสติเปรียบเหมือนเชือกผูกมัดจิตให้อยู่นิ่งกับที่ได้
ธรรมชาติของจิตมันดิ้นรน ชอบปรุงแต่ง คิดฟุ้งซ่าน วุ่นวายไปกับอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบจิตอยู่ตลอดเวลา
จิตจึงเปรียบเหมือนลิงซึ่งมักไม่อยู่นิ่งต้องกระโดดไปมาอยู่ไม่สุข
พระพุทธองค์ทรงสอนว่าการจับลิง (จิต) ให้อยู่นิ่งต้องเอาเชือก (สติ) ผูกยึดไว้กับหลักที่ดีคือหลักธรรม
คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสไว้ถูกต้องดีแล้วสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง

การรักษาจิตด้วยสติ คือ เอาสติผูกไว้กับอารมณ์ที่ดีงามอยู่กับความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)
หรือการผูกจิตไว้กับคำว่า พุทโธ คำว่าพุทโธเป็นคำที่ดีงามเพราะเป็นนามของพระพุทธเจ้า
เมื่อเอามาเป็นสิ่งให้ใจยึดเหนี่ยวแล้ว จิตใจก็จะไม่ฟุ้งซ่านวิตกกังวล จิตใจจะผ่องใส เบิกบาน
เพราะพระนามของพระพุทธเจ้าเป็นนามบริสุทธิ์ เป็นพระนามที่แสดงถึงปัญญา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นการภาวนาเพื่อส่งเสริมให้กำลังใจตนเอง ทำจิตใจของเราให้เข้มแข็ง อดทน อยู่อย่างมีสติและแน่วแน่
อยู่กับคำว่า แม้กายป่วย แต่ใจไม่ป่วยตาม
การภาวนาเช่นนี้จะทำให้จิตใจดีขึ้น ผ่องใสขึ้น การชนะใจตนเอง เอาชนะความเจ็บป่วยได้
อยู่กับความจริงได้อย่างเป็นธรรมดา

ถูกข่มขืนแล้วท้องควรทำแท้งไหม


การถูกข่มขืนไม่ใช่เรื่องง่าย และการติดลูกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
การถูกข่มขืนแล้วท้องนั้น ว่าไปแล้วก็คือการถูกลงโทษให้เสวยทุกข์สองต่อ ทั้งเจ็บกายเจ็บใจ
ทั้งต้องเลือกที่จะสร้างบาปสร้างกรรมต่อไปอีก
ผมรู้สึกสงสารและเห็นใจผู้หญิงที่สุดก็จากการเห็นว่า ต้องเกิดมาท่ามกลางความเสี่ยงทำนองนี้แหละ
แต่ถ้าคุณฆ่าเด็กแล้วถามผมว่าบาปไหม ผมแกล้งโกหกเพื่อความสบายใจของคุณไม่ได้
ต้องบอกตามตรงว่าคุณทำบาปเพราะ ‘จำใจฆ่า’ สิ่งมีชีวิตที่คุณ ‘ไม่ได้เป็นคนผิดที่ทำให้เกิดมา’ ครับ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเป็นมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
อย่างสมมุติว่าถ้าพระทำให้เด็กในท้องมีอันเป็นไป เช่นเจตนาแกล้งให้หญิงท้องลื่นล้มเพื่อจะได้แท้ง
อันนั้นถือว่าอาบัติปาราชิก คือถูกประหารให้ตายจากความเป็นภิกษุ และกลับมาบวชไม่ได้อีกเลยชั่วชีวิต
นั่นหมายความว่าพระศาสดาใช้ญาณหยั่งรู้ของท่าน เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าชีวิตคนเริ่มจากในครรภ์มารดา
ไม่ใช่เริ่มตอนเราเห็นออกมาลืมตาดูโลก กำเนิดมนุษย์ไม่ได้อาศัยแค่เชื้อจากพ่อและแม่ผสานกัน
แต่ยังต้องมีวิญญาณหยั่งลงในครรภ์มารดาด้วย
(หากใครค้นคว้าพระไตรปิฎกเป็นขอให้อ่านกถาว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทจากพระ สุตตันตปิฎกเล่ม ๒
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงระบุชัดว่า
วิญญาณที่หยั่งลงในครรภ์มารดาเป็นเหตุปัจจัย ให้รูปและนามของทารกในครรภ์ตั้งอยู่ได้)


ระหว่างฆ่าคนที่เกิดมาแล้วกับฆ่าเด็กที่อยู่ในท้อง อาจบาปมากน้อยกว่ากันได้ครับ ต้องดูเป็นรายๆ
ก่อนอื่นต้องคำนึงว่าเด็กที่จะมาเข้าท้องคนได้นั้น แม้มีวิบากชั่วติดตัวมาแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องมีบุญพอสมควร
มิฉะนั้นจะไม่มีทางบังเอิญมาอยู่ในสถานภาพทารกมนุษย์เป็นอันขาด

พลังบุญที่ยังดิบๆ ยังไม่กลั่นออกมาเป็นรูปมนุษย์นี่นะครับ จัดเป็นพลังบุญที่รุนแรง
หากเด็กเกิดมาเป็นเด็กชั่วร้าย ทำเรื่องชั่วร้ายไปแล้ว พลังบุญจะลดลงระดับหนึ่ง
แต่เมื่อเขายังอยู่ในท้อง พลังบุญแห่งความเป็นมนุษย์ยังไม่ถูกลดระดับ
ถ้าคุณไปทำลายเขา ก็เท่ากับทำลายสิ่งที่มีศักยภาพสูงชิ้นหนึ่ง
พลังสะท้อนกลับของสิ่งที่มีศักยภาพสูง ย่อมไม่ก่อให้เกิดเรื่องเล็กน้อยแน่นอน

อาจเปรียบได้กับน้ำมันดิบ ตอนยังอยู่ในบ่อ ยังไม่ถูกกลั่นออกมาใช้ มันก็มีศักยภาพระดับหนึ่ง
ถ้าคุณเผามันทิ้ง ก็เท่ากับเผาโอกาสที่จะนำมาใช้ทั้งในทางคุณและในทางโทษ
คนดีๆ ที่จะเอาน้ำมันไปพัฒนาประเทศก็หมดสิทธิ์ แต่ถ้ามันถูกสูบขึ้นมากลั่นด้วยน้ำมือผู้ก่อการร้าย
คุณพบเข้าแล้วทำลายมัน ก็ได้ชื่อว่าทำการตัดกำลังผู้ร้าย ลดเหตุการณ์ร้ายๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมันส่วนนั้น
ความผิดย่อมน้อยลงตามส่วนไปด้วย

สรุปคือฆ่าเด็กในท้องนั้นบาป ฆ่าคนชั่วก็บาป แต่ถ้าเรียงลำดับบาปมากไปหาบาปน้อย ก็ต้องว่าฆ่าคนดีบาปที่สุด
ฆ่าเด็กในท้องบาปรองลงมา และฆ่าคนชั่วนับว่าบาปน้อยที่สุด แต่ตรงนี้ ต้องทำความเข้าใจไว้ดีๆ นะครับ
ย้ำซ้ำอีกครั้ง ต่อให้เป็นคนชั่ว ธรรมชาติก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น
การฆ่านั้นอย่างไรก็เป็นบาปวันยังค่ำ บาปน้อยที่สุดไม่ได้หมายความว่าไม่บาปเลย

ทำไมบางคนทำกรรมชั่วแล้วยังเชิดหน้าชูตาอยู่ได้


นี่เป็นข้อสงสัยที่ชวนให้คนไม่อยากเชื่อเรื่องผลกรรมกันมากที่สุด คือ ‘เลวขนาดนี้ไม่เห็นมันรับผลกรรมเสียที’

ลองคิดเพื่อความสบายใจก็แล้วกัน นึกให้ออกว่าที่เขาหน้าตาดี ท่าทางภูมิฐาน แถมเป็นใหญ่ในระดับบริหารได้ อย่างน้อยชาติก่อนคงต้องมีดี มีพฤติกรรมที่น่าภาคภูมิ แล้วก็เป็นใหญ่ในการบุญบางอย่าง อาจจะเคยเป็นแม่งานช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าครั้งนั้นคุณเคยเกิดร่วมกับเขาและเห็นความมีน้ำใจของเขา คุณคงนึกแน่ๆ ว่าต่อไปเขาต้องได้ดี มีสุข มีความภูมิฐาน มีความเป็นใหญ่ แม้พลาดพลั้งทำชั่วไปบ้างก็คงไม่ให้ผลเร็วนัก และถ้าในชาตินั้นเขาก้มหน้าก้มตาทำดี แต่ไม่เห็นผลดีสักที คุณคงนึกเอาใจช่วย อยากเร่งรัดให้เขาได้ดีเร็วๆ เมื่อผลยังไม่งอกเงย คุณก็คงนึกแค้นใจแทน และพานจะไม่อยากเชื่อว่าวิบากกรรมมีจริงเอา

มาในชาตินี้ เขาเล่นบทตัวโกง ไม่ใช่พระเอก และเรื่องของการโกง ไม่ว่าจะเป็นงบอาหารกลางวัน งบวัสดุการเรียน งบนักเรียนยากจน งบค่าพาหนะ ฯลฯ ทุกอย่างต้องเอามาคิดหมดไม่ตกหล่น ถึงเวลากรรมเผล็ดผล เขาก็ต้องถูกเบียดเบียนเรื่องอาหารการกิน เรื่องการเรียน เรื่องการเดินทาง ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ผลจากการเคยเล่นบทพระเอก ทำให้เขายังต้องเสวยสุขอีกระยะหนึ่ง กับการเป็นคนหน้าตาดี ภูมิฐานและเป็นใหญ่ในระดับบริหาร ความรู้สึกคับแค้นใจของคุณ ไม่อาจไปบังคับบัญชากรรมให้ทำหน้าที่เร็วๆ ได้

สิ่งที่คุณทำได้และควรทำ คือเป็นกลาง วางอุเบกขา ด้วยความเชื่อใจธรรมชาติว่าตัดสินทุกคนอย่างยุติธรรมเสมอ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว และต้องเสวยวิบากทั้งดีและชั่ว ตามระยะเวลาที่สมเหตุสมผล ตามแรงส่งของกรรมที่ทำไว้เสมอครับ

ท้อกับชะตาจนยากจะทำใจเชื่อเรื่องกรรม

ในภูมิมนุษย์นี้ เวลาคุณโดนเหวี่ยงลงต่ำ คุณทำได้สองทาง
อย่างแรกคือทอดอาลัยตายอยาก ปล่อยตัวเฉยจนตกรูดๆ ๆ ลงไปเรื่อยๆ
อย่างที่สองคือตะเกียกตะกายขึ้นมาทีละมาก หรือทีละน้อย

เมื่อก้มหน้าลงมอง คุณรู้แน่ๆ ว่าเบื้องล่างเป็นเหว เหวก็มีหลายระดับความลึก และจุดที่คุณพลัดหลงลงมาก็อาจใกล้หรือไกลจากปากเหว จะอยู่ที่เหวลึกหรือตื้นเพียงใด จะร่วงหล่นลงมาแล้วแค่ไหน ตราบใดยังไม่ถึงพื้น คุณต้องหาทางทำให้ตัวเองไม่ท้อที่จะปีนป่ายขึ้นไปให้ได้ เพราะถ้ายอมจำนน ไม่ตะเกียกตะกาย คุณจะยิ่งตกลงไปมากกว่านี้แน่นอน

ถ้าจะมอง ก็ขอให้มองก้นเหวให้เกิดความกลัว และเกิดลูกฮึด คิดบากบั่นขึ้นสูงต่อไป อย่าเล็งยอดที่ยังมองไม่เห็น อันจะทำให้ท้อ เมื่อกัดฟันก้าวต่อก้าว ขั้นต่อขั้น ในที่สุดคุณจะเลิกท้อเพราะมองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง แต่จะกระตือรือร้นเต็มที่ เหมือนคนสั่งสมพละกำลังจากการเล่นกีฬาจนอยู่ตัว

หากเห็นภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ คุณจะทราบว่าเมื่อโดนเหวี่ยงลงไปอยู่ที่นั่นแล้ว ตะเกียกตะกายจนเลือดกระเด็นออกมาจากตา ก็ป่ายปีนขึ้นสูงไม่ได้เลยจนกว่าจะหมดแรงยึดเหนี่ยวของวิบากมืด เชื่อเถอะว่าในอบายภูมิคลาคล่ำไปด้วยจิตวิญญาณที่อยากมีโอกาสแบบคุณ เห็นคุณยังดีกว่าพวกเขาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ครับ

ทุกสิ่งเกิดจากกรรมเก่าที่ทำไว้หรือไม่


พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่เชื่อว่าทุกสิ่งเกิดจากกรรมเก่า จัดเป็นความเข้าใจผิดชนิดหนึ่ง
โดยท่านให้พิจารณาว่าถ้าทุกสิ่งเกิดจากกรรมเก่าทั้งหมดแล้ว ก็แปลว่าการตัดสินใจฆ่า การตัดสินใจขโมย
การตัดสินใจผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน การตัดสินใจโกหก และการตัดสินใจกินเหล้าเมายา
ล้วนเป็นผลมาจากกรรมเก่าด้วยน่ะสิ

กรรมเก่าในอดีตชาติตระเตรียมเขาวงกตไว้ให้เราเดิน
ในปัจจุบันชาติเรามีสิทธิ์ตัดสินใจว่า จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาต่างๆ

กรรมเก่าในอดีตชาติตระเตรียมอุปสรรคและเครื่องทุ่นแรงไว้เป็นหย่อมๆ
ในปัจจุบันชาติเรามีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะทำลายหรือยอมแพ้อุปสรรค
กับทั้งมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะหยิบฉวยหรือทิ้งขว้างเครื่องทุ่นแรง

การมีครูที่ดี การทำทานรักษาศีลให้จิตเห็นความจริงชัดเจนไม่บิดเบี้ยว
ตลอดจนความเป็นคนช่างสังเกตว่าคิดอย่างไรจิตจึงสว่างเบา ทำเหตุอย่างไรจิตจึงมืดทึบ
นั่นแหละจะมีส่วนช่วยให้การตัดสินใจเลือกครั้งสำคัญๆ ในวงกตที่ถูกขีดด้วยกรรมเก่านี้
เป็นไปเพื่อพบทางออก สุดสิ้นการงมหลงทางในเขาวงกตเสียที

การตัดสินใจใหม่ๆ และการค้นให้พบทางออกนั้น
เป็นเรื่องของกรรมใหม่แท้ๆ ตัวตนเก่าๆ ของคุณตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาช่วยคุณไม่ได้แล้ว
และคุณก็ไม่สามารถขอร้องให้ตัวตนนั้นๆ เปลี่ยนแปลงกรรม เพื่อจะได้ให้ผลเป็นตัวคุณที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

อีกประการหนึ่ง บางสิ่งบางอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากบุญหรือบาปอันเคยประกอบไว้
ทว่าเป็นผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรมที่เกิดจากเหตุอันเป็นรูปธรรม
ยกตัวอย่างเช่นคุณชอบกินอาหารบางอย่างที่แสลงกับท้อง กินเข้าไปแล้วท้องเสีย
การท้องเสียเกิดขึ้นจากอาหารที่เลือกกิน ไม่ใช่เกิดจากกรรมเก่า
หรือเห็นฝนตกอยากออกไปวิ่งเล่น ด้วยความตั้งใจจะทำให้เกิดความสนุกหรือผ่อน คลายหายร้อน
แต่กลับเป็นหวัด อันนี้ก็ไม่ได้มาจากกรรมเก่าเช่นกัน

แต่หากคุณจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่เขามีแต่อาหารแสลงสำหรับคุณ
หรืออยู่ในที่ที่ฝนตกชุกไม่เหมาะกับสุขภาพของคุณ อันนั้นอาจเป็นผลของกรรมเก่าได้เหมือนกัน
ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ จะเป็นตัวชี้ว่าคุณทำกรรมเก่ามาหนักแค่ไหน ต้องได้รับผลอีกนานประมาณใด
กว่าจะสามารถตัดสินใจเลือกความเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้น

กล่าวโดยสรุปคือ
อย่างไรคุณก็ต้องสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ทำมาหากินโดยสุจริต
และตัดสินใจเพื่อความสุขความเจริญโดยส่วนเดียว
ไม่ต้องก้มหน้าก้มตาเดินอยู่บนเส้นทางที่กรรมเก่าขีดไว้เสมอไปครับ

อุบายระงับความโกรธแบบไม่เก็บกดสำหรับมือใหม่

การฝึกห้ามใจขณะโกรธนั้น ก็คือการฝืนต้านแรงโกรธไม่ให้มันบีบบังคับใจเราทำเรื่องร้าย จะว่าเป็นกีฬาทางจิตก็ได้ครับ กล่าวคือถ้า ‘เล่นกีฬาทางจิต’ อย่างพอดี ก็ทำให้จิตเข้มแข็งขึ้น เหมือนยกน้ำหนักฝืนแรงโน้มถ่วงโลกบ่อยๆ หากเหมาะกับกำลังก็ย่อมได้ผลเป็นมัดเนื้อที่แน่นหนา คุณจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นจอมพลัง และเชื่อมั่นว่าสามารถเอาชนะอุปสรรคได้มากขึ้นทุกที

อย่างไรก็ตาม ถ้าห้ามใจหนักเกินขีดจำกัดก็อาจส่งผลเสีย เช่น ทำให้จิตอ่อนแอลง นั่นก็คล้ายการฝืนยกน้ำหนักเกินตัว กล้ามเนื้ออาจอักเสบได้ ฉีกได้ หรือแย่กว่านั้นคือหัวไหล่หลุดไปเลย คุณจะท้อแท้หรือถึงกับสิ้นหวัง สิ้นศรัทธาในตนเองลง ไม่เชื่อว่าตนจะ ‘เล่นกีฬาทางจิต’ ด้วยการต้านโทสะกับใครไหว

หากสำรวจตนเองแล้วพบว่ายังอ่อนแอ ยังปวกเปียก ยังแพ้ความโกรธง่าย ต้องหลุดปากพล่ามพูดระบายอารมณ์ให้กับเรื่องเล็กเรื่องน้อย ผมก็ขอแนะนำให้ ‘ฝึกยกน้ำหนัก’ ให้พอดีตัวก่อน คือถ้าชนวนความโมโหเป็นเรื่องเล็ก เช่น ต้องนั่งรอใครนานหน่อย หรือต้องทนฟังใครพูดจุกจิกน่ารำคาญ ก็ให้ตั้งใจปิดปากเงียบ และระงับความเคลื่อนไหวทางกาย ไม่แม้จะทำตาขุ่น เช่นนี้คุณจะรู้สึกถึงความอดทน รู้สึกถึงการฝืนห้ามใจไม่ด่า ไม่ทำปึงปัง ทั้งที่ความโกรธสั่งให้ด่า สั่งให้ปึงปัง

ความอดกลั้นตรงๆ ที่ผ่านด่านทดสอบได้สำเร็จแต่ละครั้ง จะก่อให้เกิดความรู้สึกมั่นคง หนักแน่น และแข็งแรงขึ้นทีละนิด พอสอบผ่านในเรื่องเล็กหลายครั้งเข้า คุณจะทราบชัดว่าขันติทรงตัวไปเอง เมื่อเกิดเรื่องเล็กเรื่องน้อยน่ารำคาญก็ไม่ต้อง ‘ฝืนใจ’ อีกต่อไป ผ่านพ้นได้ง่ายเหมือนยกลูกเหล็กเบาหวิว ความโกรธและความขัดเคืองจะเหมือนแมลงหวี่แมลงวัน ที่ไม่อาจบินผ่านกระจกเข้ามาในบ้านคุณ คุณจะรู้สึกสบายและมองเห็นพวกมันอยู่ข้างนอก เป็นของภายนอก ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบ้านอีกแล้ว

แต่ถ้าชนวนให้เกิดความโกรธเกรี้ยวเป็นเรื่องใหญ่ ประเภทเมียรักขอหย่า เจ้านายอาละวาด หรือเป็นที่คาดหมายได้ว่าโดนเบี้ยวหนี้แน่ แบบนี้ยากจะนิ่ง เพราะเกินกำลังต้านของคุณ ก็ให้หารูระบายบ้าง อาจใช้คำพูดระบายโทสะได้ แต่อย่าให้เป็นคำด่าเพื่อให้เกิดความสะใจอย่างเดียว ขอให้ปนๆ ถ้อยคำผ่อนหนักเป็นเบาเสียบ้าง

อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือเยียวยาที่วิเศษ แม้ถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ชวนมองโลกด้านดี ด้านตลก ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้มากอย่างคาดไม่ถึง เช่น ถ้าเมียรักขอหย่า อย่าเอาแต่ด่าเธอแบบหนำใจท่าเดียว ให้หยอดมุขจุ๋มจิ๋มลงไป เช่น จะให้คุณเตรียมจัดงานหย่าที่โรงแรมไหนดี อย่าเลือกที่เคยใช้สำหรับงานแต่งล่ะ จ่ายแพงไม่เห็นได้อะไรเลย

ขอให้มีเสียงหัวเราะเล็กๆ เถอะ ให้เสียงหัวเราะเล็กๆ พาคุณผ่านการสอบครั้งใหญ่หลายๆ หน ในที่สุดคุณจะรู้จักมองโลกในแง่ดี รุ่มรวยอารมณ์ขัน วนเวียนอยู่ในหนองน้ำแห่งความเศร้าได้โดยไม่เปียก หรือถึงเปียกก็ตัวแห้งเร็ว

คุณอาจเถียงว่าคนกำลังเครียดจะให้คิดคำตลกได้ยังไง ขอให้ลองแล้วจะรู้นะครับ ตอนกำลังเครียด กำลังเจ็บปวดจุกอกจุกใจนั่นแหละ เหมาะเลยที่จะหัดทำตลกเสียบ้าง เพราะตอนเครียดจะมีแรงอัดอยู่ในปากและในหัวอกระดับหนึ่ง หากไม่ปล่อยให้ระเบิดเป็นคำพูดร้ายๆ แต่เปลี่ยนเป็นขับดันให้คำแห่งความบันเทิงหลุดออกมาแทน คุณจะเป็นตลกหน้าตายได้อย่างไม่นึกฝัน

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการทำตลกในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้ อย่างน้อยคุณต้องมีสติ เมื่อมีสติย่อมไม่พูดพล่อย เมื่อไม่พูดพล่อยย่อมเกิดความฉลาดหาคำพูดจี้ๆ ที่ฟังแล้วอดขำไม่ได้ หรือแม้พูดไม่ขำ แค่ทำท่าตลกตอนตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน ความกดดันก็จะแปรเป็นแรงอัดให้คนอื่นเห็นแล้วหัวเราะได้เหมือนกัน

สรุปคือการระงับความโกรธสำหรับมือใหม่นั้น อาจใช้วิธีงัดข้อกับความโกรธตรงๆ หรือไม่ก็อาศัยอารมณ์ขันเข้าช่วย ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้หายโกรธแบบไม่มีความอัดอกอัดใจตกค้างอยู่เป็นพอครับ

ในที่สุดคุณจะพบว่ามีบันไดขั้นต่อไปให้ขึ้นสูงได้อีก นั่นคือการเห็นความโกรธไม่ใช่คุณ มันเป็นภาวะหลอกใจให้หลงเกิดอุปาทานว่ามีตัวคุณเป็นผู้โกรธ แท้จริงมีแต่ภาวะโกรธ หากถูกรู้ถูกเห็นว่าเกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา อาการหลงเชื่อว่าความโกรธเป็นตัวคุณจะเบาบางและเหลือน้อยลงทุกที กระทั่งแยกเป็นต่างหากจากกันไปเลย

ความโกรธก็ส่วนหนึ่ง จิตที่เห็นความโกรธก็ส่วนหนึ่ง มี ‘ความว่างจากตัวคุณ’ อยู่ตรงกลาง ถ้าไปถึงขั้นนั้นได้ ก็เรียกว่าเปลี่ยนสิ่งที่เป็นโทษ ให้กลายเป็นประโยชน์สูงสุดสำเร็จแล้ว

จงขอพร 9 ประการให้ตนเองเถิด

คำว่า พร เป็นคำมีรากมาจาก บาลีสันสกฤต (บาลี, สันสกฤต=วร) แปลว่า เลือก สิ่งที่เลือกแล้วจึงเรียกว่า "พร"
คำว่า ขอพร ในความหมายเดิมจึงหมายถึงว่า ขอเลือกสิ่งที่ตนคิดว่าดีที่สุดเพื่อกระทำให้เกิดมีขึ้นในตน
คำว่า อวยพร จึงหมายถึง ให้โอกาสคนที่ขอนั้นทำตามที่เลือก

ธรรมเนียมการขอพร และอวยพร
สมัยนี้กลับกลายเป็นว่า ไปขอความสุขความสำเร็จจากผู้ถูกขอ หรือเขาไม่ขอ แต่ก็จะให้พร คืออวยพรให้เขาได้รับสิ่งดีๆ

ดูราวกับว่าสิ่งที่ดีเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความสำเร็จทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หยิบยื่นให้กันได้...

ผมอยากให้ประชาชนคนไทยได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอพร
คือขอโอกาสให้ตนได้กระทำความดี และให้พร คือเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ทำความดีสัก 9 ข้อ คือ
1.ขอให้ข้าพเจ้ามีความเพียรพยายามทำความดี สร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ตนและสังคม
โดยไม่นั่งคอยนอนคอยโชคชะตา หรืออ้อนวอนร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือ

2.ขอให้ข้าพเจ้าจงอย่าได้ลืมตน ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ซึ่งอาจด้อยกว่าในด้านใดด้านหนึ่ง
ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติคนอื่น มีความอ่อนโยน เอื้ออาทรกันในฐานเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

3.ขอให้ข้าพเจ้าอย่ารู้สึกริษยาบุคคลที่ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิต
ให้มีแต่ความพลอยยินดีในความสุขความสำเร็จของเขาด้วยใจจริง

4.ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เหยียดหยามซ้ำเติมผู้ที่ผิดพลาดในชีวิต ด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม
จงมีแต่ความเมตตากรุณา หาทางช่วยเหลือเขาเท่าที่จะพึงทำได้

5.ขอให้ข้าพเจ้าจงมีจิตใจเข้มแข็ง อดทน ไม่จู้จี้ขี้บ่น
ทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนและคนอื่นได้ ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่งนอกตัว

6.ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบเอาแต่ได้เพื่อตัวเอง เช่นเถลไถล ไม่ทำงาน
รีบเลิกงานก่อนเวลา อาศัยหน้าที่การงานแสวงประโยชน์เพื่อตน
รวมถึงอย่าได้เอาเปรียบประเทศชาติโดยการหลีกเลี่ยงภาษี หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่เป็นจริง

7.ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝังความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อคนอื่น และมีความกรุณาคิดจะช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์
คิดว่าทุกคนเป็นมิตร ไม่มีใครเป็นศัตรูที่จะต้องกำจัดตัดรอน
ใครที่คิดทำผิดทำชั่วก็ขอให้เขากลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย

8.ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนมักโกรธ ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เอาแต่ใจตนเอง
ถ้าห้ามความโกรธไม่ได้ ก็ขออย่าได้ผูกอาฆาตคิดประทุษร้าย ให้เขาถึงความพินาศเลย

9.ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ในพระศาสนาเข้าใจธรรม สอนตนเองได้ มีปัญญาเข้าใจแก้ไขปัญหาตามแนวทางของพระพุทธองค์
ยึดมั่นถือมั่นน้อย รู้เท่าทันโลกและชีวิตแสวงหาความสุขสงบภายในด้วยตนเอง ทั้งสามารถแบ่งปัน
แผ่ขยายความสุขสงบนั้น ให้เบ่งบานในใจของเพื่อนร่วมสังสารวัฏโดยทั่วหน้ากันเทอญ

วิธีขอพรอย่างไรให้ได้อย่างขอ

เคยขอพรไหม ถ้าเคยปกติ คุณขออะไรกันบ้าง ?
การขอพร เสมือนเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ให้กับตัวเรา ทุกครั้งที่เราขอเสร็จมันเหมือนทำให้เรามีความหวังมากขึ้น
แต่คุณเคยคิดไหมว่าสิ่งที่คุณขอกันนั้นมาถูกต้องหรือเปล่า แล้วมันได้ตามที่เราขอทุกครั้งหรือไม่

วันนี้ผมขอแนะนำพร 3 ประการให้ทุกท่านที่อ่านข้อความนี้
1. ปัญญา
ขอให้เรามี ปัญญา เพื่อที่จะได้ใช้ปัญญาในการแยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ว่าสิ่งไหนควบคุมได้ และสิ่งไหนควบคุมไม่ได้
2. พลัง
ขอให้เรามีพลัง เพื่อใช้จัดการกับสิ่งที่เราควบคุมได้ จากการแยกแยะของปัญญา
3. สติ
ขอให้เรามีสติ เพื่อควบคุมในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ พูดง่าย ๆ เพื่อให้เรามีสตินั่นเอง
จะได้ควบคุมตัวเราให้ระลึกได้ว่าสิ่งนี้เรามิอาจควบคุมมันได้

3 สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราขอได้ทุกที่ แม้กระทั่งตัวเราเอง หากเราระลึกและปฎิบัติกับสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา คุณก็จะได้ตามที่คุณขอ
โปรดจำไว้ว่าทุกครั้งที่คุณขอเสร็จคุณมีความหวังแล้ว แต่อย่าคาดหวัง

เราควรตั้งจิตยินดีในความสำเร็จ หรือเจริญรุ่งเรืองให้กับคนอื่นอย่างไร

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจครับว่า การมีมุทิตาจิตตามหลักพรหมวิหาร ๔ นั้น ไม่ใช่ร่วมยินดีตะพึดตะพือ
แต่เป็นการร่วมมีใจเป็นกุศล หรือพูดง่ายๆ คืออนุโมทนากับความสำเร็จในบุญของผู้อื่นเป็นหลัก

คำถามนี้ต้องถูกเบี่ยงเบนเสียใหม่อย่างนี้ต่างหากครับ
คือจะไม่อิจฉาริษยา จนพลอยหลงเห็นดีเห็นงามกับการรวย ด้วยวิธีโกงกินหรือแก้ผ้าได้อย่างไร?
คำตอบสำหรับคำถามนี้ ได้แก่ข้อธรรมสุดท้ายของพรหมวิหาร ๔ คือ ‘อุเบกขา’

การมีอุเบกขาในพรหมวิหารธรรมนั้น หาใช่การเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยินยลสนใจแต่อย่างใด
พฤติกรรมทางกายของคุณ อาจต่อต้านรูปแบบความชั่วร้ายตามหน้าที่ข้าราชการ หรือหน้าที่พลเมืองดี
เท่าที่ตัวเองจะไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
แต่พฤติกรรมทางใจของคุณจะต้องไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อิจฉาริษยา ไม่พลอยเห็นดีเห็นงามตามเขาไป

อุเบกขาที่ประกอบด้วยความเฉื่อยเฉยไม่รู้ไม่ชี้นั้น เรียกว่าอุเบกขาแบบเอ๋อ
ส่วนอุเบกขาที่ประกอบด้วยความรู้เหตุรู้ผลนั้น เรียกว่าอุเบกขาแบบฉลาด
พุทธเราสนับสนุนให้คนฉลาด มีปัญญารู้เหตุรู้ผล

ถ้ายังไม่เคยพิจารณา ก็ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ เช่น ความรวยของเขาเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วคราว
เป็นฐานให้เขาหลงผิดคิดมิชอบ เปิดโอกาสให้โกงยิ่งๆ ขึ้นไปไม่รู้จบรู้สิ้น
เพราะวิสัยคนโกงย่อมนิยมการโกงไปตลอดชีพ
น่าสงสารเสียมากกว่าที่เขามีเวลา มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการสั่งสมด้านมืดเข้าตัว
รังแต่จะมีผลให้ไปเกิดในอบายภูมิ เป็นแน่แท้

สรุปคือ อย่ายินดีกับการก่อบาปก่อกรรมของใคร ในขณะที่มองตามจริงไปด้วยว่าเขามีกินก็เพราะมีเหตุปัจจัย
ไม่จำเป็นต้องเกลียดเขาเพียงเพราะเขากินแพงกว่าเรา เราเอาตัวให้รอดด้วยการมีจิตที่ไม่เกลียดนั่นแหละ ประเสริฐสุดแล้วครับ

สังคมมีแต่เรื่องหดหู่ จะทำใจให้เป็นบุญได้อย่างไร

แต่ละวันมีเรื่องที่เข้ามากระทบใจ หรือเข้าหูเข้าตาให้รับรู้มากมาย
แน่นอนครับว่าต้องก่อปฏิกิริยาทางใจในทางใดทางหนึ่ง ไม่พ้นความชอบ ชัง รัก เกลียด นิยม หมั่นไส้ ฯลฯ
พูดง่ายๆ คือถูกใจเราก็อารมณ์เป็นบวก ผิดใจเราก็อารมณ์เป็นลบ

เรื่องของเรื่องคือ ถ้าเราจะตัดสินใจไหลไปตามกระแส โอกาสที่เป็นไปได้มาก
คือคุณจะมีอารมณ์เป็นลบมากกว่าบวก เพราะโลกนี้มีแต่เรื่องร้ายๆ มากระทบยิ่งกว่าเรื่องดีๆ
โอกาสเจอเรื่องดีนั้นยาก โอกาสพบเรื่องร้ายนั้นง่าย

พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริงนั่นคือ
ยิ่งจิตของคุณมืดด้วยการสั่งสมอารมณ์ลบมากขึ้นเท่าไร โอกาสได้ไปอบายก็มีสูงขึ้นเท่านั้น
ธรรมชาติจะไม่ฟังข้ออ้างว่าคุณขาดกำลังใจ วันๆ เจอแต่เศษขยะและกลิ่นน้ำครำเน่าเหม็น ยิ้มไม่ได้ สดชื่นไม่ไหว
ถึงเวลาธรรมชาติก็แค่ตัดสินว่าคุณมืดมากกว่าสว่าง หรือสว่างมากกว่ามืด เท่านั้นจริงๆที่ธรรมชาติทำ

เมื่อมีพุทธศาสนาแล้ว มีการชี้ให้เห็นความจริงแล้ว ที่เหลือก็คือการตัดสินใจเลือก ว่าจะทำตัวมืดหรือสว่าง
ข้อธรรมสำคัญทางพุทธศาสนา หาใช่การบอกว่าอยู่ในโลกนี้ง่ายดาย
ตรงข้าม ยิ่งจะดีเท่าไร ก็ยิ่งต้องว่ายทวนสวนกระแสยิ่งขึ้นเท่านั้น

สรุปคือถ้าจะเป็นพุทธแท้ คุณต้องเข้มแข็งกว่าที่เป็นอยู่นี้ให้ได้นะครับ แม้ตกอยู่ในโลกของการรบกวน
คุณก็สงบจิตไว้ไม่รบกวนใครต่อ และแม้ถูกขังให้อยู่ร่วมกับเหล่าอันธพาลจอมเบียดเบียน
คุณก็ต้องใจเย็น ไม่เห็นเป็นเรื่องบังคับให้เบียดเบียนตอบ

การเป็นผู้ไม่เบียดเบียนใครก่อน และการเป็นผู้ไม่มีเวรด้วยการพยาบาทอาฆาตใครนั่นแหละ
นับได้ว่าเป็นชาวพุทธ นับได้ว่ามีสิทธิ์พ้นทุกข์พ้นร้อนจากวงจรอุบาทว์ วงจรภัยเวรแห่งการเบียดเบียนกันโดยแท้

ข้อธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกับมนุษย์และสัตว์นั้น ได้แก่พรหมวิหาร ๔
ซึ่งสนับสนุนให้จิตมีความสว่างไสวในทุกสถานการณ์ พรหมวิหาร ๔ ได้แก่

๑) เมตตา คือปรารถนาการไม่เบียดเบียนและการให้ผู้อื่นสุขกายสุขใจ
ถ้าใจเป็นสุขแล้วอยากให้คนอื่นสุขตาม นั่นแหละเมตตา
ถ้าโกรธใครแล้วเห็นจิตตนเอง เห็นโทษอันร้อนแรงของความโกรธในตนเองก่อนเห็นหน้าเขา
แล้วเลือกที่จะเอาความเย็น สามารถปล่อยคำพูดกับการกระทำเย็นๆ ออกไปได้ นั่นแหละสุดยอดของเมตตา

๒) กรุณา คือเต็มใจช่วยหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง
ถ้าอยู่รอดปลอดภัยสบายตัวแล้วนึกอยากสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส นั่นแหละกรุณา
ถ้าเห็นใครลำบากกระเสือกกระสน แล้วปรารถนาจะทุ่มกายทุ่มใจเข้าไปช่วยกับมือ
ไม่นิ่งดูดายกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แม้ต้องกลายเป็นผู้ลำบากเสียเอง นั่นแหละสุดยอดของกรุณา

๓) มุทิตา คือยินดีในความสำเร็จอันเป็นกุศลของผู้อื่น
ถ้าเห็นใครทำบุญทำกุศลสำเร็จแล้วชื่นบานยินดีราวกับได้ทำเอง นั่นแหละมุทิตา
ถ้าเห็นใครได้มรรคได้ผลหรือพ้นทุกข์พ้นร้อนแน่นอน
แล้วเกิดความปลาบปลื้มโสมนัส ราวกับตนบรรลุมรรคผลหรือพ้นทุกข์พ้นร้อนเสียเอง นั่นแหละสุดยอดของมุทิตา

๔) อุเบกขา คือวางเฉยเสียได้กับผลกรรมของแต่ละคน
ถ้าเห็นตามจริงว่าใครคิด ใครพูด ใครทำอย่างไรก็เป็นคนอย่างนั้น
หรือได้รับผลอันสมควรกับการเป็นคนอย่างนั้นแล้ว เขาสร้างที่พึ่งและเครื่องลงทัณฑ์ให้ตนเอง ไม่มีผู้อื่นช่วยได้
เห็นอย่างนั้นแหละอุเบกขา และถ้าเห็นตามจริงด้วยทิพยจักขุอันล่วงประสาทตาของมนุษย์
รู้แจ้งเห็นจริงตลอดสายว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ถ้าคิดดี พูดดี ทำดีย่อมไปสู่สุคติหลังตาย
ส่วนถ้าคิดร้าย พูดร้าย ทำร้ายย่อมไปสู่ทุคติหลังตาย หาใครช่วยอุ้มช่วยพยุงไม่ได้ นั่นแหละสุดยอดของอุเบกขา

หากคุณตัดสินใจยึดหลักพรหมวิหาร ๔ ดังกล่าวแล้วนี้
จะไม่มีข้ออ้างใดๆ เลยครับสำหรับการเอาตัวให้รอดจากทุคติ
จิตของคุณจะมีที่อยู่อันสุขสงบ คือมีวิหารเยี่ยงพระพรหมผู้ปราศจากภัยเวร
แต่หากไม่ปลงใจยึดหลักพรหมวิหาร ๔ คุณก็จะมีข้ออ้างร่ำไปกับการร้ายตอบโลกเมื่อถูกโลกทำร้าย
ที่อยู่ของจิตคุณ ถ้าไม่ใช่นรกก็ใกล้นรกนั่นเอง

คุณโอดครวญกับมนุษย์ด้วยกันเช่นผมนี้ได้
แต่พ้นจากมนุษย์ด้วยกัน สิ่งที่เหลือคือธรรมชาติทางใจของตัวเองที่คุณจะไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
ไม่มีสิทธิ์ต่อต้านหรือโอดครวญขอความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้นเลยครับ

ต้องสงสารเด็กขอทานถูกตัดมือตัดเท้าไหม

ควรสงสารเหมือนเดิมครับ แต่เปลี่ยนมุมมองใหม่ อย่าไปเคียดแค้นคนที่ทำกับเด็กอย่างนี้
ให้สงสารและเห็นใจที่ต่างก็พลาดทำบาปมหันต์ไปด้วยความไม่รู้
หมั่นพิจารณาให้หนักว่าด้วยความไม่รู้สัตว์จึงก่อบาป
หากศรัทธากรรมวิบากแล้ว รู้ชัดในเหตุผลกลกรรมวิบากแจ่มแจ้งแล้ว สัตว์ย่อมประกอบแต่บุญ
และไม่เฉียดบาปเลยแม้แต่จะคิด


ภาพน่าสลดสังเวชของเด็กที่ถูกตัดมือตัดเท้า จะไม่ยุติบนสะพานลอยที่คุณเห็น
แต่มันจะเป็นรากที่ทอดเงาไปสู่ความมีภาพเช่นนี้อีก
ใครทำกับเด็กไว้อย่างไร เขาก็ต้องไปเป็นอย่างนั้น หรือยิ่งกว่านั้น
ส่วนภาพน่าเวทนาของเด็กที่ถูกตัดมือตัดเท้าในปัจจุบัน ก็สมเหตุสมผลกับอดีตกรรมของพวกเขาแล้ว
ไม่มีใครเคราะห์ร้ายโดยบังเอิญ กรรมเก่าที่ทำเป็นประจำ จะบังคับเส้นทางชีวิตของทุกคนอยู่อย่างเสมอภาค

อย่างไรก็ตาม ในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ เพื่อนร่วมโลก อันควรมีหน้าที่เกื้อกูลกันและกัน
เมื่อพบเห็นเด็กถูกทำร้าย ก็ขอให้ทราบว่าผู้พบเห็นเช่นคุณคือโอกาสรอดของเขา ช่วยอะไรได้ก็ช่วย
รู้เบาะแสแจ้งจับได้ก็แจ้ง หรือมีส่วนร่วมมือกับราชการในทางใดทางหนึ่งได้ก็ร่วม
ไม่ใช่พอรู้ว่าเป็นเรื่องของกรรมวิบากแล้วจะแปลว่าสมควรดูดายครับ

สับสนเกี่ยวกับวิธีทำใจขณะให้ทาน

วิธีทำทานให้ได้ถึงอกถึงใจนะครับ เอาง่ายๆ เลย นึกให้ออกว่าคนรับเขาจะรู้สึกอย่างไร
ตรงที่นึกออกนั่นแหละ คุณจะปลื้มปีติตื้นตันราวกับเป็นผู้รับเสียเอง
ตรงที่ปลื้มปีติตื้นตันนั่นแหละ คือทานจิตอันเป็นมหากุศล
ตรงที่เป็นทานจิตแท้ๆ นั่นแหละ แหล่งรวมองค์ประกอบในการทำทานที่ดีไว้ทั้งหมด
นับตั้งแต่มีความเห็นอกเห็นใจ มีความคิดอนุเคราะห์ เป็นต้น

ทุกคนเคยเป็นผู้รับมาก่อน และน่าจะต้องเคยผ่านประสบการณ์ยินดีปรีดาที่ได้รับของถูกใจ
หรือของสำคัญซึ่งจำเป็นต้องใช้ด่วน หากจำความรู้สึกขณะเป็นผู้รับได้ คุณก็น่าจะ‘รู้ใจ’ ผู้รับของของคุณ
กล่าวคือเวลามองข้าวของที่คุณจะมอบให้แก่ผู้รับ จะนึกออกทันทีว่า
ผู้รับเขารู้สึกอย่างไรในนาทีที่ได้มาเป็นกรรมสิทธิ์ หรือในขณะที่เขากำลังใช้ของอย่างเต็มประโยชน์

ยกตัวอย่างเช่น คุณมีเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่ค่อยใช้แล้วแต่ยังไม่ขาด ถ้าวางดองอยู่ในตู้เสื้อผ้าเฉยๆ ก็ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว
ต่อเมื่อคุณคิดถึงเด็กต่างจังหวัดที่เสื้อกางเกงตัวเก่งขาดวิ่น ผิวหนังเจอลมหนาวประจำ
ถ้านึกออกว่าเขาได้เสื้อผ้าของคุณไปแล้วจะดีใจ สวมแล้วจะหายหนาว
นั่นแหละทานจิตบังเกิดเต็มดวงแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้ให้ แม้กรรมยังไม่สำเร็จเป็นทานเต็มขั้น
เพราะยังไม่มีผู้รับทานจริง อย่างน้อยคุณก็ชื่นบาน บังเกิดโสมนัสอย่างใหญ่ได้แล้ว

สรุปคือนึกถึงใจเขาใจเราให้ออก ความสุขความพอใจของผู้รับจะเป็นรางวัลใหญ่ชิ้นแรกสำหรับคุณทันที
และจะติดตรึงในความทรงจำไปอีกนานด้วย

ทำทานเมื่อไรจึงจะพอ

เพื่อให้รู้ว่าพอดีแล้วหรือยัง เราต้องมาดูเป้าหมายของการทำทาน ตามอุดมคติของพระพุทธศาสนากันก่อนนะครับ
จุดใหญ่ใจความของทานคือเพื่อให้มีความสุขในปัจจุบัน มีความสุขในอนาคต และมีความสุขที่ยั่งยืน
แจกแจงได้ดังนี้

๑) เพื่อให้มีความสุขในปัจจุบัน คือการทำลายความตระหนี่ถี่เหนียว
พุทธเราถือว่าความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นก้อนกรวด หรือก้อนหินโสโครกที่ ขวางกระแสความสุข
ความสุขอันประเสริฐนั้นรินมาจากใจซึ่งเปี่ยมความเมตตากรุณา
หากเจอสิ่งอุดตันอย่างความตระหนี่ขวางทาง ก็หมดสิทธิ์หลั่งรินมาทำความชุ่มฉ่ำให้ใจเราเป็นแน่
คุณลองนึกถึงตอนจะเอาแล้วไม่ได้อย่างใจ หรือนึกถึงตอนตัวเองเถียงหน้าดำหน้าแดงเพื่อแย่งสมบัติกับใคร
ใจมันเปิดโล่งหรือคับแคบ อึดอัดหรือสบาย หายใจเข้าออกด้วยความทุกข์หรือความสุข
แล้วถ้าตลอดทั้งชาติเกิดมา เพียงเพื่อได้รู้จักกับรสชาติของความหวงแหน ชีวิตจะแร้นแค้นความสุขสักขนาดไหน

๒) เพื่อให้มีความสุขในอนาคต คือการสั่งสมบุญ สั่งสมกรรมดี
อันจะก่อให้เกิดผลหรือที่เรียก ‘วิบาก’ ในอนาคตกาล ซึ่งอาจเป็นระยะใกล้ชนิดเห็นทันตาในชาติปัจจุบัน
หรืออาจเป็นระยะไกลที่ต้องรอดูกันยาวๆ ด้วยดวงตาของคุณในชีวิตถัดไป ไม่ใช่ด้วยดวงตาในชีวิตนี้
พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่าผู้ให้ทานเป็นนิตย์ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์และโลกมนุษย์อันมั่งคั่ง
ห่างไกลจากความอดอยากและความอัตคัดขัดสน เนื่องจากบุญเป็นความสว่าง เป็นเหตุแห่งความสุขความเจริญ
เป็นธรรมชาติที่มีหน้าที่ตกแต่งรูปสมบัติและคุณสมบัติอันน่าใคร่ น่าพอใจ
คุณสามารถเห็นลางดีบอกอนาคตอันรุ่งเรืองได้ จากหน้าตาและผิวพรรณในปัจจุบัน
ยิ่งคิดเสียสละมากขึ้นเพียงใด ความผ่องใสก็ยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้นเพียงนั้น

๓) เพื่อให้มีความสุขที่ยั่งยืน คือการสร้างปัจจัยเกื้อกูลให้พบทางสู่นิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่านิพพานคือบรมสุข
คือนอกจากมีรสอันเยี่ยมเกินรสใดๆแล้ว ยังไม่กลับไม่เปลี่ยนมาเป็นทุกข์อีกเลย
การหมั่นให้ทานทำให้เราลดความหวงแหน ลดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรๆ เป็นสมบัติของเรา
อะไรๆ เป็นของที่จะเอาติดตัวไปได้ เมื่ออุปาทานเบาบางลงระดับหนึ่ง
บวกกับการรักษาศีลและเจริญสติให้ถูกต้องตรงทาง
ในที่สุดอุปาทานอันหนาเตอะก็ถูกกะเทาะให้ร่วงกราวลงได้หมด
จิตเบ่งบานถึงขีดสุดด้วยการเปิดไปพบมหาอิสรภาพคือนิพพาน ไม่ต้องเวียนกลับมาทนทุกข์ทนร้อนกันอีก

จาก ๓ เหตุผลของการให้ทานตามอุดมคติของพระพุทธศาสนาดังกล่าวข้างต้น
ทำให้พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญทาน อันเกิดจากการฝืนใจทำชั่วครั้งชั่วคราว
แต่พระองค์จะสรรเสริญผู้ที่มีความ ‘ตั้งมั่นในทาน’ หมายถึงการ ‘มีแก่ใจคิดให้’ ไปเรื่อยๆ เป็นนิสัย
เป็นความเค
ยชิน เป็นธรรมชาติแท้จริงที่ไม่ได้เกิดจากการฝืนใจ หรือเล็งโลภหวังผลต่างๆ นานา

เมื่อรู้จักฝึกเป็นฝ่ายให้ได้ตลอดชีวิต นั่นแหละจะก่อนิสัยใหม่ทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า
พูดง่ายๆ ให้รวบรัดคือเปลี่ยนแปลงตนเองจากความเป็นคน ‘ไม่ได้มีใจจริงที่คิดจะให้’ เป็นคน ‘มีใจจริงที่จะให้’

อย่างไรก็ตาม การทำทานที่ ‘พอดี’ คือทำแต่ละครั้งไม่รู้สึกว่าตนต้องเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง
ไม่ได้กู้ยืมใครเขามาทำทาน แต่ทำบ่อยๆ จนรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องให้อย่างสมควรแก่ฐานะ
คือไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ให้แล้วยังมีกินมีใช้อย่างสบาย


การทำทานแบบไม่ลืมหูลืมตาจน ‘เกินพอดี’ นั้น คือทำด้วยจิตที่เล็งโลภอยู่ว่าจะได้ผลตอบแทนมากมาย
ยิ่งทำเกินตัว จ่ายทรัพย์มากหวังผลมากแบบนักลงทุน อย่างนั้นแทนที่จะได้ดีอาจกลับกลายเป็นได้ร้าย
สวนทางเหตุผลของการให้ทาน คือ
๑) เป็นผู้ไม่มีความสุขในปัจจุบัน คือสะสมความโลภ
วันๆ คิดแต่เรื่องการ ‘ลงทุนทำทาน’ เพื่อให้รวยเร็ว หรือเพื่อให้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงส่ง
เมื่อกระวนกระวายเล็งรับผลอยู่ ใจย่อมไม่เป็นสุข ความตระหนี่ย่อมไม่หายไปไหน ซ้ำร้ายอาจพอกพูนขึ้นกว่าเดิม
เห็นได้จากการที่บางคนทำบุญด้วยการกะเกณฑ์ว่า บุญกองนี้เป็นส่วนของฉันเท่านั้น ห้ามใครยุ่งเกี่ยว
ห้ามใครมามีส่วนร่วม นั่นสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ายังขาดความเข้าใจเรื่องการแบ่งปัน การมีน้ำใจต่อส่วนรวม
อันเป็นเป้าหมายแท้จริงของการเสียสละเป็นทาน

๒) เป็นผู้ไม่มีความสุขในอนาคต คือสั่งสมบุญอันเจือด้วยความโลภ
แม้อนาคตกาลเมื่อเกิดใหม่ในตระกูลร่ำรวย หรือได้เป็นพ่อค้าแม่ขายที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว
ความร่ำรวยนั้นย่อมกระตุ้นให้ละโมบโลภมาก เนื่องจากเคยเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งทำบุญในอดีตชาติ ว่าขอให้รวย
ขอให้มีมาก หาใช่ด้วยน้ำใจสละออก เมื่อรวยและมีมากสมใจ จึงไม่คิดแบ่งปันใคร
คิดเป็นแต่จะเอาเข้าตัวพอกพูนให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป คุณลองหามาเถอะ เศรษฐีโลภมากคนไหนบ้างที่เป็นสุขทางใจ
ไม่ว่าจะมีกี่ร้อยกี่ล้าน ความตระหนี่และความละโมบโลภมากย่อมเป็นของหนัก ของดำ ของน่าเกลียดน่าอึดอัด
ติดจิตติดใจเขาไปทุกฝีก้าว เขาได้ชื่อว่าครอบครองสมบัติเพื่อเป็นทุกข์ทางใจโดยแท้

๓) เป็นผู้ไม่มีความสุขที่ยั่งยืน คือสวนทางกับการสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้พบนิพพาน
เพราะจะพบนิพพานได้นั้น จิตต้องบริสุทธิ์จากกิเลส แต่นี่ทำบุญเพื่อบำรุงกิเลส ผลแห่งบุญก็ย่อมมีความขัดแย้ง
มีความขัดขืนฝืนต้าน ไม่ยอมให้เข้าสู่ทางไปนิพพานได้เต็มตัว

สรุปสั้นๆ นะครับ
ผลอันทันตาทันใจของ ‘การให้ทานที่พอดี’ คือความรู้สึกสบายใจในวันนี้ และอบอุ่นใจกับวันหน้า
ตราบใดยังไม่สบายใจในวันนี้ และยังไม่อบอุ่นใจกับวันหน้า ก็แปลว่าคุณยังมีความไม่พอดีกับการทำทานนั่นเอง



โดย วิจันท์โล

กำลังใจเสียเมื่อถูกทักว่าบุญที่ทำได้ผลน้อย

กำลังใจลดลง ความปีติในการประกอบบุญก็ย่อมลดลงตามส่วนครับ
ไม่แช่มชื่นเหมือนตอนกำลังใจยังเต็มๆ ไปได้หรอก


บุญที่ทำจะมีกำลังแรงจริงก็เมื่อ

๑) ขณะก่อนทำมีจิตเลื่อมใส คือนึกอยากทำด้วยตนเอง ไม่มีความขัดขืนฝืนใจ มีแต่ความแน่วแน่ว่าจะทำให้ได้

๒) ขณะกำลังทำมีความยินดี คือมีใจที่ปราศจากความโลภและความหงุดหงิดขัดเคืองใดๆ
เรียกว่าถวายทานด้วยรอยยิ้มจากใจ ใจยิ้มแค่ไหนปากยิ้มแค่นั้น ไม่ใช่ฝืนแสร้งแกล้งปั้นยิ้มด้วยปากทั้งมีใจแห้ง
(ถ้าใครถวายทานด้วยสีหน้าบึ้งตึงเคร่งเครียดเป็นประจำ ก็คาดหวังได้เลยว่าเกิดชาติต่อๆ ไป
เป็นพวกที่มีใบหน้าหงิกงอ ท่าทางบอกบุญไม่รับ หมดสิทธิ์ทำอาชีพประชาสัมพันธ์เด็ดขาด)

๓) หลังทำแล้วมีความปรีดา คือเบิกบานสบาย นึกถึงเมื่อใดปลื้มใจเมื่อนั้น ว่าเราได้ประกอบบุญแล้ว
สร้างที่พึ่งอันน่าอบอุ่นใจให้ตนเองแล้ว

ด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมทั้งสามกาลข้างต้น ก็เที่ยงที่บุญจะบันดาลสุขทั้งปัจจุบันและอนาคต
ปัญหาของคุณคือโดนบั่นทอนกำลังใจ ซึ่งหมายถึงหลังทำจะขาดความปรีดาปราโมทย์ไป

โดยคร่าวๆ นะครับ จะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัด
เมื่อบุญที่คุณทำเผล็ดผล คุณอาจได้บ้านหลังหนึ่งเป็นรางวัล บ้านหลังนั้นอาจสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
แถมอยู่ในสภาพแวดล้อมอันวิจิตรชวนชื่นตาชื่นใจ แต่คุณอยู่แล้วกลับไม่ปลื้มเอาเฉยๆ
มีเหตุให้รู้สึกขัดอกขัดใจเล็กๆ น้อยๆ ส่วนลึกเหมือนไม่เต็มที่กับรางวัลใหญ่ที่ได้มา

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมเกิดจากจิต ไม่ใช่วัตถุ จิตและเจตนาเป็นอย่างไร กรรมก็เป็นอย่างนั้น
กรรมเป็นอย่างไร ชีวิตและความรู้สึกก็เป็นไปตามนั้น
คุณจึงควรรักษาจิตเพื่อประกอบบุญให้ดี อย่าหวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ

คนที่ชอบทักให้คนอื่นเสียกำลังใจในการบุญนั้น
ทั้งปัจจุบันและอนาคตจะเป็นผู้ไม่มีกำลังใจในการบุญ โดนบั่นทอนกำลังใจเช่นกัน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าใครกล่าวว่าพระสมณโคดมตรัสแนะให้ให้ทานแก่พระองค์เพียงคนเดียว
ไม่ควรให้แก่ใครอื่น และพึงให้ทานแก่สาวกของพระองค์ ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของคนอื่นๆ
อย่างนี้ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่พูดตามที่พระองค์ตรัส ทั้งกล่าวตู่พระองค์ด้วยคำอันไม่ดี ไม่เป็นจริง

ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังตรัสเสริมอีกว่า ถ้าใครห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่
ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง หมายความว่า
๑) เขาทำอันตรายแก่บุญของผู้ให้
๒) เขาทำอันตรายแก่ลาภของผู้รับ
๓) เขาย่อมทำลายตนเองด้วยบาปที่ตนก่อแล้ว

ฉะนั้นหากเมตตาเขาก็อย่าช่วยให้เขาทำกรรมสำเร็จ ด้วยวิธีง่ายๆ คืออย่าใจเสียตามคำเขาก็แล้วกันครับ

กุศโลบายในการลดความอิจฉา

ถ้าทุกคนมีญาณหยั่งรู้ สามารถทราบได้ถึงเหตุที่ใครต่อใครได้ดีหรือตกยาก น่าเกลียดหรือหล่อสวย รวยหรือจน
โชคดีบ่อยหรือโชคร้ายถี่ โลกนี้คงมีการอิจฉาริษยาน้อยลงมาก
เพราะใจจะเหลือแต่อุเบกขาอันเกิดจากความเห็นตามจริงว่าใครทำอย่างไร
การกระทำของเขาก็ส่งให้มาเสวยผลตามนั้น

กิเลสมนุษย์ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก บางทีเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเพราะเขาขยัน เขาทุ่มเท เขาทำงาน
เขาต่อสู้อุปสรรค จึงประสบความสำเร็จ สอบได้ที่หนึ่ง หรือทำงานได้ตำแหน่งใหญ่โต
เห็นเหตุเห็นผลชัดๆ อย่างนี้ก็ยังไม่วายอิจฉาตาร้อน จะป่วยกล่าวไปไยถึงคนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าคุณ
ทั้งขี้เกียจ ทั้งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทั้งหนักไม่เอาเบาไม่สู้ แต่กลับได้ดีกว่าทุกด้าน หน้าก็หล่อ เมียก็สวย บ้านก็รวย
แน่นอนคุณต้องคิดว่านี่มันอะไรกัน ทำไมโลกช่างหาความยุติธรรมไม่ได้เอาเลย

เมื่อยังไม่อาจมีญาณหยั่งทราบเรื่องกรรมวิบากข้ามภพข้ามชาติ ก็ต้องใช้วิธีตรงไปตรงมาครับ
นั่นคือให้เพ่งโทษ เพ่งพิจารณาถึงแง่ลบของความอิจฉาริษยา เช่น

๑) ดูจิตขณะอิจฉา คือดูเข้ามาตรงๆ ให้เห็นสภาพจิตใจตนเองขณะอิจฉาริษยา
ถามตัวเองว่าเย็นหรือร้อน ถามตัวเองว่าอึดอัดหรือสบาย ถามตัวเองว่ากระวนกระวายหรือสงบสุข
อย่าไปเพ่งเรื่องดีเรื่องเลวนะ
แล้วก็อย่าไปพยายามห้ามใจไม่ให้อิจฉาเอาดื้อๆ เพราะจะทรมานใจเปล่าเมื่อหยุดไม่ได้

การที่คุณยอมรับตามจริง ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ทราบชัดว่ากำลังร้อน กำลังอึดอัด กำลังกระวนกระวาย
จะเป็นชั่วขณะของการเกิดสติ คือมีความระลึกรู้ได้ว่าขณะนี้จิตกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่

แม้ว่าในความมีสติรู้เห็นเช่นนั้น ความคิดริษยายังไม่หยุดตัวลง แต่อย่างน้อยก็มีความชะงักงันชั่วขณะ
ชะงักที่ได้รู้ว่าผลของความคิดริษยาคือร้อน อึดอัด กระวนกระวาย
ตลอดจนเกิดแรงดันอยากทำอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง คล้ายเป็นผู้ร้าย ไม่ใช่พระเอก

ไม่ว่าคุณจะเห็นความร้อน ความอึดอัดหรือความกระวนกระวาย
คุณจะเกิดปัญญาขึ้นมาทีละนิดทุกครั้งว่าสภาพนั้นๆ ไม่ใช่ของดี ไม่ใช่ของน่ายึด
การที่จิตรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าอะไรไม่ดี อะไรไม่น่าเอา ในที่สุดจิตจะเริ่มฉลาดเอง ปล่อยวางความยึดสิ่งนั้นไปเอง

ผลลัพธ์ในระยะยาว
เมื่อใดคุณอิจฉาริษยา เกิดความเร่าร้อนในอกในใจขึ้นมา จิตจะไม่โจนทะยานออกไปให้ความร่วมมือกับตัวอิจฉา
จะไม่เพ่งจ้องบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความอิจฉาแบบไม่ถอนสายตา
ทว่าจะเห็นความเปล่าประโยชน์ของสภาพจิตใจตัวเอง
ฉุกคิดว่าจะร้อนเปล่าไปทำไม อึดอัดเปล่าไปทำไม กระวนกระวายเปล่าไปทำไม

ชั่ววูบแห่งความระลึกได้เช่นนั้น คุณจะเห็นความอิจฉาริษยาดับไป
ยิ่งเห็นวูบแห่งความดับได้ชัดเท่าไร ใจก็จะยิ่งโปร่งสบายขึ้นเท่านั้น
ธรรมชาติของจิตเขาชอบความสบาย ในที่สุดเขาจะเลิกหาเรื่องอึดอัดใส่ตัว พูดง่ายๆ คือหยุดหาเหาใส่หัวเสียที

ย้ำว่าห้ามไปพยายามเบรกตัวเองนะครับ เมื่อรู้ตัวว่าเกิดความอิจฉา อย่าไปสู้กับมัน ตามดูตามรู้
เฝ้าสังเกตอย่างมีสติก็พอว่าในอกในใจมันร้อนอึดอัด หรือกระวนกระวายเพียงใด
การเห็นความไม่เที่ยงของอาการทางใจ จะทำให้คุณว่างหายสบายอกขึ้นได้เอง


๒) เพ่งโทษความอิจฉา คือพิจารณาให้เห็นโทษของความอิจฉาริษยา
กล่าวคือสะกดรอยตามว่าความอิจฉาแตกแขนงออกเป็นนิสัยเสียอื่นๆ ได้แค่ไหน

อย่างเช่นคนที่สนุกกับการยุยงให้คนอื่นตีกัน
เพียงเพราะทนไม่ได้ที่เห็นคนดีมีความสามารถ เขาร่วมมือร่วมใจทำกิจอันเป็นมหากุศล
การยุให้คนเขาตีกันหรือแตกคอกัน เพียงเพื่อจะได้สะใจ ไม่มีใครดีกว่าตัวเอง
ผลคือจะไม่ได้อยู่เป็นสุข ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ต้องตีกับคนใกล้ตัวไม่เลิกรา

ผมเคยรู้จักผัวเมียคู่หนึ่ง สองคนนี้นิสัยอย่างอื่นต่างกันหมด เหมือนอยู่อย่างเดียวคือชอบยุให้ชาวบ้านเขาผิดใจกัน
ตั้งคำถามเพื่อเอาคำตอบจากคนหนึ่ง แล้วใส่สีตีไข่คำตอบนั้น เพื่อเอาไปกระแทกหูอีกฝ่ายให้เกิดความเจ็บใจ
ผลที่เกิดขึ้นจับจิตของผัวเมียคู่นี้โดยตรงคือคุยกันไม่รู้เรื่อง ฝ่ายหนึ่งพยายามพูดอธิบายไปทาง
อีกฝ่ายกลับเข้าใจไปอีกทาง และนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไม่สมเหตุสมผลขึ้นเรื่อยๆ

ความรุ่มร้อนอันเกิดจากความไม่เข้าใจกัน พูดจากันไม่รู้เรื่องระหว่างคนในบ้านนั้น
ถ้าใครเคยมีประสบการณ์คงเข้าใจนะครับว่าเป็นทุกข์ใหญ่หลวงเพียงใด
เปิดประตูเข้าบ้านเหมือนเปิดประตูเอาตัวเข้าเตาอบดีๆ นี่เอง

เรื่องของเรื่องคือผัวเมียคู่นี้เข้ากันไม่ได้ตั้งแต่เริ่ม
ตอนแรกเห็นข้อดีบางอย่างเช่น ชอบธรรมะเหมือนกัน ก็น่าจะไปกันได้ อยู่ดีมีสุขร่วมกันได้
ทว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานขึ้นเท่าไร ความแตกต่างก็ยิ่งฉีกสองคนห่างจากกันมากขึ้นเท่านั้น
ทำอะไรก็เหมือนผิดไปหมด โง่ไปหมด

คราวนี้พอเห็นคนอื่นเขาอยู่ร่วมกันดีๆ มีความปรองดอง ก็เกิดความอิจฉาริษยา
พอปล่อยให้อำนาจความอิจฉาริษยาเข้าครอบงำจิตใจเต็มที่
ก็เกิดแรงขับดัน อยากยุให้รำตำให้รั่ว เห็นเขาแตกคอกันแล้วมีความสุข

ผลกรรมที่เห็นทันตาของการยุยงที่สำเร็จ คือใจเพ่งโทษกันและกันหนักขึ้นหลายเท่า
ที่สำคัญคือได้ชื่อว่าก่อกรรมผูกมัดตัวเข้ากับเส้นทางเดิมๆ เมื่อเกิดชาติหน้าผัวเมียคู่นี้ก็ต้องเจอกันอีก
และถูกกรรมเก่าดลใจให้มาผูกติดกันอีก เพื่อทะเลาะเบาะแว้งกัน เห็นความเข้ากันไม่ได้
และงุนงงว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนั้น

ความอิจฉาริษยาเป็นรากของการมีศัตรู ไม่ใช่มีมิตร เป็นรากแห่งการทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์
เป็นรากของความเดือดร้อนรำคาญจิต ไม่ใช่ความเยือกเย็นสบายใจ เป็นรากของความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข
พิจารณาเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดคุณจะเลิกตามใจตัวเอง
พออิจฉาริษยาขึ้นมาเมื่อไร จิตจะไม่พลอยเอออวยเข้าร่วมพวกด้วยอีกต่อไปครับ


โดย ดังตฤณ
ที่มา : http://dungtrin.com

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภาษารัก 9 แบบ ที่เราควรทำ


ภาษาใจ ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานของคนสองคน ที่จะเป็นคู่ชีวิตใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

ภาษาสายตา เป็นภาษาที่ลึกซึ้งและเที่ยงตรงที่สุดเพราะหลอกกันไม่ได้

ภาษายิ้ม ยิ้มเป็นสิ่งที่บ่งบอกและแสดงความเป็นไปของผู้ยิ้ม ดังนั้นเราจึงควรฝึกยิ้มให้มีเสน่ห์ และมีความสุข

ภาษาวาจา ภาษาวาจามีอานุภาพมาก มีทั้งประโยชน์และโทษถ้าไม่ระมัดระวังคำพูด

ภาษาท่าทาง ท่าทางอันจรรโลงรักให้ภาคภูมิ งดงาม และยังความมั่นใจในสัมพันธภาพ

ภาษาสัมผัส การสัมผัสควรพิถีพิถันบรรจง อ่อนโยน ทะนุถนอม นุ่มนวลและหนักแน่นเป็นการเกื้อกูลกันให้เกิดพลังมาก สมานสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

ภาษาพฤติกรรม ภาษาพฤติกรรมเป็นภาษารักแห่งยั่งยืน

ภาษาสัมพันธ์ คือการจัดสมดุลให้แก่ชีวิตคู่

ภาษาแห่งความสงบ ภาษาแห่งความสงบเป็นภาษาที่ทรงอานุภาพสูงสุด เมื่อใดที่เข้าถึงความสงบได้ ความสุขจึงปรากฎ


ดัง นั้นการสื่อภาษารักใดๆนั้นจะทรงพลัง มีค่าความเที่ยงตรง ความละเอียดอ่อน และความลึกซึ้ง ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตและระดับจิตใจของแต่ละคน

30 ความคิดดีๆ วิธีเรียกความสุขแบบง๊าย ง่าย


นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเขาต้องยิ้มกลับมาทุกครั้งแน่

ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

หลับตานิ่งๆสักสามนาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน

ระหว่างแปรงฟัน ฮัมแพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า

เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาดธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างถนุถนอมเหมือนกันหมด

การขึ้นลงบันใดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันใดขั้นที่เท่าไร

คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวย/หล่อมากๆทันที ที่คุณถามเขาว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ/ครับ?"

เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่หย่อนลงกรป๋องหรอก




ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"


ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนก่อน

สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงควรเล่าให้มันฟัง

อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ

ให้ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งแล้วแทบดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องให้

ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มได้เสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง

ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อยสามข้อก่อน

ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนมันมีเยอะเอง

ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้กินได้ 4 คนถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง




เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนที่ให้ไม่ได้

ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น

แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร

ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ

ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้

พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุกแต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าทีจะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

4 วิธีป้องกันอาการ ขี้ลืม


เอ๊ะ! เอากุญแจรถไว้ไหน เมื่อกี้ปิดไฟในบ้านหรือยัง วันเกิดแฟนวันที่ 12 หรือ 22 กันแน่นะ แล้วผู้หญิงคนนั้นชื่อน้องเก๋หรือเอ้หว่า ฯลฯ อาการขี้ลืมแบบนี้สร้างความรำคาญให้ใครต่อใครอยู่เสมอ ก่อนที่คุณจะมีความจำสั้นแค่ 3 วินาทีเหมือนปลาทอง มี 4 วิธีง่ายๆ ที่คุณทำได้เองตั้งแต่ตอนนี้มาฝากค่ะ

1. กินอาหารที่มีประโยชน์
สถาบัน ประสาทวิทยาแห่งสหรัฐฯ รายงานว่า การกินผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ส้ม ผักโขม แครอท บร็อค-โคลี มะเขือเทศ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสโตรคถึง 11% แถมยังช่วยบำรุงให้เซลล์สมองสามารถทำงานเชื่อมโยงกันได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่วิตามินบีโดยเฉพาะ บี12 และกรดโฟลิกช่วยลดการเสี่ยงในการเป็นโรคความจำเสื่อมได้อีกด้วย

2. ออกกำลังกาย
เป็น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่อยากมีสุขภาพดี การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน หรือบอดี้คอมแบต ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานดีขึ้น และช่วยกำจัดไขมันที่เกาะตามเส้นเลือด นั่นหมายความว่าเลือดจะสามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี ยิ่งขึ้นนั่นเอง การออกกำลังกายยังช่วยให้คุณนอนหลับสนิท ทำให้สมองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่ต้องถึงขนาดวิ่งวิบากก็ได้ครับ แม้แต่การรำมวยจีน โยคะ ก็ช่วยให้พัฒนาสมองได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน แต่อย่าลืมดื่มน้ำหลังการออกกำลังกายด้วย เพราะการขาดน้ำอาจทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่

3. ออกกำลังสมอง
ถ้า อยากให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องออกกำลังกาย เช่นเดียวกัน ถ้าอยากให้สมองแข็งแรงก็ต้องออกกำลังสมอง พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้สมองนั่นแหละครับ มีหลายวิธีที่ทำให้สมองของคุณได้ใช้งาน เช่น การเล่นหมากรุก การอ่านหนังสือ การเล่นเกมอักษรไขว้ อย่ากลัวที่จะเรียนภาษาใหม่ๆ หรือเรียนดนตรีตอนอายุมากแล้ว เพราะนั่นเป็นการออกกำลังสมองอย่างดีเลยละครับ ต่อให้คุณมีระบบจดจำหมายเลขโทรศัพท์แล้ว ลองจำหมายเลขโทรศัพท์ของคนใกล้ชิดไว้ในสมองสิครับ หรือเวลารถติดก็ลองเอาเลขป้ายทะเบียนรถคันข้างหน้ามาบวกลบคูณหารกัน สมองมีไว้ใช้ ถ้าไม่ใช้ก็มีแต่จะเสียมันไปเท่านั้น

4. หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า
นึก ถึงตอนที่คุณเมาจนจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนคุณทำตัวน่าอายแค่ไหนนั่นแหละครับ แม้จะเป็นเพียงแก้วสองแก้ว แอลกอฮอล์ก็สามารถไปรบกวนการสร้างความจำระยะยาว (Long-term memories) ได้เหมือนกัน การวิจัยอีกหลายชิ้นก็ชี้ว่า ยิ่งดื่มแอลกอฮอล์มากเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงต่อการทำลายความจำมากขึ้น เห็นแบบนี้แล้วอย่าใช้มันเป็นข้ออ้างในการดื่มเพื่อลืมเธอเลยนะคุณ ใจก็เสียไปแล้ว อย่าให้สมองเสียไปอีกเลย

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บำบัดความเครียด.......... สมาธิบำบัด


เครียด เครียด เครียด ชีวิตประจำวันของคนทำงานทำให้ดัชนีความเครียดของคนไทยพุ่งสูงปรี๊ด
ความเครียดทำให้สุขภาพเราแย่ลง ทำให้เราป่วยง่ายขึ้น ที่สำคัญสำหรับสาวๆ เครียดมากๆทำให้หน้าแก่ก่อนวัยได้นะ
เมื่อเรารู้สึกเครียดร่างกายเราหลั่งฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต
ถ้าเครียดมากก็หลั่ง Adrenaline มากขึ้นฮอร์โมนความเครียดก็จะไปยับยั้ง
การทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่นหัวใจ ไต ตับ ปอด ทำให้อวัยวะสำคัญของเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็พร้อมใจกันหยุดทำงานเพราะฮอร์โมนความเครียดไปทำให้ภูมิต้านของร่างกายเราต่ำลง ต่ำลง
เรียกว่าโรคเครียดนอกจากทำแก่ง่ายแล้วยังทำให้ถึงตายได้นะเนี่ย


- ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิ
การทำสมาธิถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด สมาธิทำให้จิตใจสงบนิ่ง
แต่มีสติ หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล หรืออารมณ์ด้านลบทั้งหลาย เ
มื่อเราทำสมาธิจะรู้สึกสบายขึ้นเพราะจะมี Hormoneชื่อ Endorphins
หลั่งออกมาในขณะที่จิตใจสงบนิ่ง ฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ก็จะหยุดหลั่ง
และในขณะนั้นเองเมื่อจิตสงบสมองส่วน Hypothalamus จะสั่งให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้น
ภูมิต้านทานของเราก็จะสร้างเพิ่มขึ้นหลังจากถูกยับยั้งด้วยฮอร์โมนความเครียด
การทำสมาธินี้ดีมาก มาก สำหรับคนที่กำลังบำบัดมะเร็งเพราะ
เมื่อภูมิต้านทานกระเตื้องขึ้นการกำจัดcell มะเร็งก็จะเป็นไปตามที่ต้องการ


- ทำสมาธิแบบไหนดี?
การทำสมาธิที่สามารถบำบัดโรคที่เกิดจากความเครียด ความกังวล ไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อโรคโดยตรง
แต่สามารถรักษาใจที่เป็นทุกข์อันเกิดจากโรคได้ วิธีฝึกสมาธิบำบัดมีหลายวิธี ได้แก่ การนั่งภาวนา
เดินจงกรม การแผ่เมตตา การอธิษฐานจิต การฝึกใช้พลังภายในร่างกาย การใช้พลังภายนอก
การฝึกเพ่งลูกแก้ว และอย่างน้อยควรทำวันละ 2 ครั้ง ถ้าทำได้


- ท่าที่สบายที่สุด
จะนั่งขัดสมาธิหรือจะนอนหงายวางแขนไว้ข้างตัวก็ได้ ให้เป็นท่าที่เรารู้สึกสบายตัวที่สุด
แล้วก็เลือกสถานที่ที่เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายๆไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป อุณหภูมิในห้องสบาย ๆ
หลับตาลงจะได้ตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก จิตจะได้สงบง่ายขึ้น
แล้วเริ่มด้วยการกำหนดลมหายใจโดยสูดหายใจเข้าช้า ๆ ให้ท้องพอง หายใจออกช้า ๆให้ท้องแฟบ สัก 3 ครั้ง
ให้สังเกตลมที่ผ่านเข้าออกทางจมูกว่ากระทบถูกอะไรบ้าง

จากนั้นให้หายใจให้สบาย กำหนดจิตของตนไปรับรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง
ให้รับรู้เฉย ๆ ถ้าจิตมันจะวอกแวกนึกนั่นนึกนี่ แว่บไปหาเพื่อนคนโน้นคนนี้
นึกห่วงงานที่นั่นที่นี่บ้างก็ดึงสมาธิกลับมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ อาจทำยากมาก
เหมือนเราหัดเดินตั้งไข่ครั้งแรก ล้มบ้าง ลุกบ้างแต่ถ้าพยายามเข้าในที่สุดเราก็จะเดินได้การทำสมาธิก็เช่นกัน
ถ้าเราพยายามขยันดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ทำซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ ในที่สุดจิตก็จะเชื่อง และเริ่มนิ่ง
เมื่อเข้าถึงสมาธิก็จะได้ความรู้สึกปีติรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะ ฮอร์โมนEndorphins หลั่งออกมา
และ ฮอร์โมนความเครียด Adrenaline ที่ต่อมหมวกไตก็จะหยุดหลั่งออกมา
และเมื่อเข้าสมาธิได้แล้วก็ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ๆ ละไม่ต่ำกว่า 15 นาที

- เทคนิคการฝึกหายใจ
โดยปกติแล้วการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ต้องหายใจถี่ๆแต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า
ในทางวิทยาศาสตร์เราอธิบายได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาทวากัส (Vagus)
ซึ่งเส้นประสาทตัวนี้เป็นพาราซิมพาเทติก เป็นเส้นประสาทมีผลต่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ
เพิ่มการทำงานของลำไส้ เส้นประสาทวากัส (Vagus) จะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย
ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า ดังนั้นเราจึงต้องฝึกหายใจลงไปที่ท้องแทน

เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อทุกระบบในร่างกายหดตัว เวลาเครียดเรามักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
กำหมัด กัดฟัน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวเกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่

- การฝึกคลายกล้ามเนื้อ

จะช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลง เพราะในขณะที่ฝึก
จิตใจ ของเราจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อ ความคิดฟุ้งซ่าน
และความวิตกกังวลก็ลดลง ช่วยให้จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้น

วิธีการฝึก เลือกนั่งในท่าที่สบาย เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ถอดรองเท้า
หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งใจจดจ่ออยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ 10 กลุ่ม โดยการปฏิบัติดังนี้คือ

1. มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย
2. มือและแขนซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
3. หน้าผาก เลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
4. ตา แก้ม จมูก ให้หลับตาแน่น ย่นจมูก แล้วคลาย
5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย
6. คอ โดยก้มหน้าให้คางจรดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆกลั้นไว้ แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
8. หน้าท้องและก้น โดยการแขม่วท้อง แล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
9. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย
10. เท้าและขาซ้าย ทำเช่นเดียวกัน

ข้อแนะนำ

ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3-5 วินาที ผ่อนคลาย 10-15 วินาที

ควรฝึกประมาณ 8-12 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญ
เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่ต้องเกร็งก่อน
หรืออาจเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่มีปัญหาก็ได้ เช่น บริเวณใบหน้า คอ หลัง ไหล่ เป็นต้น
ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัวแต่ถ้ามีเวลาทำได้ทั้งหมดก็จะดีมากมากสำหรับตัวคุณเอง


- ฝึกสมาธิประจำ แก้ได้หลายโรค
หากฝึกสมาธิเป็นประจำ จิตใจก็เบิกบาน สมองแจ่มใส จิตใจเข้มแข็ง อารมณ์เย็น
พร้อมตลอดเวลาไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรมากระทบ สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง
เมื่อมีสมาธิที่เข้มแข็ง ปัจจุบันมีการวิจัยและค้นพบข้อดีของการทำสมาธิเช่น


ช่วยปรับสภาวะสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้อัตราการหายใจและชีพจรช้าลง
ทำให้คลื่นสมองสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ระดับฮอร์โมนที่ถูกระตุ้นจากความเครียดลดลง

แก้ปัญหานอนไม่หลับได้ถึงร้อยละ 75 และ
ช่วยให้ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ใช้ยาแก้ปวดลดลงจาก เดิมร้อยละ 34
ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเอดส์ มีอาการทุกข์ทรมานลดน้อยลงกว่าการรักษาเฉพาะทางทางยา
ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน ความถี่หรือความรุนแรงของอาการจะลดลงร้อยละ 32

และยังพบอีกว่าในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศาสนาจะหายเร็วกว่า
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย จะมีอัตราการตายมากกว่าผู้นับถือศาสนาถึง 3 เท่า

ในสหรัฐอเมริกา มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบผลตรงกันว่า
ชาวพุทธที่นั่งสมาธิเป็นประจำ สมองในส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ดี
และ ความคิดด้านบวกจะทำงานกระฉับกระเฉงกว่า ช่วยผ่อนคลายความเครียด
และทำให้สมองส่วนที่เป็นศูนย์กลางความทรงจำด้านร้ายสงบลง และการนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยให้อารมณ์แปรปรวน ตกใจ เกรี้ยวกราด หรือหวาดกลัวลดลงด้วย

แพทย์โรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ให้คนไข้โรคหัวใจฝึกสมาธิระหว่างบำบัดด้วยยาไปด้วย
และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะทำให้ความดันโลหิตและความเครียดลดลงอย่างมาก

ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดี ไม่แก่ง่าย ตายเร็ว ก็ต้องเริ่มการฝึกทำสมาธิและต้องเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย
อย่าได้ผัดผ่อนเด็ดขาด

..................

บทความจาก kullastree.com

การทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า


การทำสมาธิของคนส่วนใหญ่ประสบกับความล้มเหลว
หรือก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นลบกับการทำสมาธิ
เพราะขาดแนวทางที่ถูกต้อง
หรือมองแนวทางที่ถูกต้องแบบผิดๆ
ซึ่งก็หมายความว่ายิ่งทำสมาธิเท่าไร
ใจก็ยิ่งแกว่ง หรือห่างไกลจากสมาธิที่ถูกที่ชอบมากขึ้นเท่านั้น
ความเข้าใจขั้นพื้นฐานจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด
ถ้าขาดความเข้าใจแล้วกระโดดไปพยายามทำสมาธิเลย
เกือบร้อยทั้งร้อยจะพยายามเพ่งจับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแน่นเกินไป
หรือไม่ก็จ้องบังคับความคิดของตัวเองให้ดับไปดื้อๆ
การทำสมาธินั้น ทุกคนหวังจะได้ผลเป็นความสุขสงบ
พูดง่ายๆ สมาธิคือการเปลี่ยนอึดอัดเป็นสบาย
แต่หลายคนทำสมาธิแล้วเปลี่ยนสบายเป็นอึดอัด
แล้วจะไปชอบใจหรือเห็นค่าของสมาธิได้อย่างไรกัน?
เพื่อจะมองเห็นทั้งเป้าหมายของสมาธิแบบที่พระพุทธเจ้าสอน
ตลอดจนทราบขั้นตอนของความสำเร็จอย่างชัดเจน
ก็ขอให้ทำความเข้าใจผ่านข้อสงสัยในหมู่นักเจริญสติ
ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด และก่อให้เกิดความละล้าละลังที่สุด ดังต่อไปนี้

๑) การทำสมาธิกับการเจริญสติต่างกันอย่างไร?

สมาธิคือภาวะของจิตที่ "ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว"
คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอื่น
หรือเมื่อมีสิ่งอื่นมารบกวนก็ไม่แกว่งไกวตามง่ายๆ
สติคือภาวะของจิตที่ "รู้เรื่องรู้ราว"
คือไม่ใช่เอากันแค่นิ่งอยู่ในฝัก
แต่ตัดเชือกกันว่าเอาตัวรอดได้หรือเปล่าด้วย
เปรียบเทียบได้กับคนที่เผชิญกับอุบัติเหตุกะทันหัน
ต้องนิ่งด้วย แล้วก็มีความเฉียบคมฉับไวด้วย
จึงจะหลีกหลบสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเป็นอัตโนมัติทันเวลา
ทางพุทธเปรียบสิ่งกระทบหูตาและกายใจทั้งหลาย
ว่าเหมือนเป็นภัยหรือยาพิษ
เมื่อไม่รู้ว่าเป็นภัยหรือยาพิษเราก็ไม่หลีกหลบ
ผลลัพธ์คือจิตเกิดความเสียหายอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน
สัมมาสติคือฝึกรู้ในสิ่งที่ควรรู้
ไม่ว่าจะนับจากก้าวแรกที่เห็นลมหายใจ
ไปจนถึงก้าวสุดท้ายที่เห็นธรรมทั้งปวง
ล้วนแต่ควรรู้ว่าเหล่านั้นไม่เที่ยง
บังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้
ไม่อาจคงรูปให้เป็นตัวเป็นตนอย่างใดอย่างหนึ่งถาวร
เมื่อรู้ความจริงก็จะได้ไม่มีอาการยึด
เช่น เมื่อรู้แล้วว่าจิตไม่เที่ยง
บังคับจิตให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้
เราก็จะได้ไม่คาดหวัง
ยึดมั่นสำคัญผิดว่าจะให้มันทรงนิ่งอยู่ตลอด
หรือเมื่อรู้แล้วว่ากายไม่เที่ยง
เหนี่ยวรั้งให้กายคงอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่งไม่ได้
เราก็จะหมดความทุรนทุรายเมื่อมันเหี่ยวย่นลง
หรือแม้กระทั่งร่างของบุคคลอันเป็นที่รักแตกดับ
เราก็จะไม่ร่ำร้องคร่ำครวญให้ร่างนั้นกลับฟื้นคืนชีพ
การเจริญสติมุ่งหมายเอาการฝึกรู้กายใจตามจริง
ผลลัพธ์สุดท้ายคือสมาธิที่เรียกว่า "อริยสมาธิ"
คือจิตตั้งมั่นรู้อยู่เองเป็นอัตโนมัติว่า
กายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ
ดังนั้น ถ้าจะกล่าวโดยภาพรวม
ก็ต้องบอกว่าการทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า
คือ "การเจริญสติ" แบบที่เราได้ยินกันมากขึ้นในยุคนี้นั่นเอง
เมื่อทำสมาธิจนเป็นอริยสมาธิเต็มขั้น
ก็คือการเกิดปรากฏการณ์ล้างผลาญกิเลสเป็นขั้นๆ
เรียกว่ามรรคผลขั้นโสดา สกทาคา อนาคา และอรหัตต์ตามลำดับ


๒) สมถะกับวิปัสสนาต่างกันอย่างไร?

สมถะหมายถึงการอาศัยวิธีอันเป็นธรรมใดๆ
ทำให้ใจสงบจากกิเลส เพื่อให้พร้อมรู้เป็นวิปัสสนา
พูดสั้นๆคือ "ทำจิตให้สงบลงพร้อมตื่นรู้ตามจริง"
ปัจจุบันคนมักพูดถึงการทำสมถะ
ว่าคือการนั่งสมาธิและเดินจงกรม
หรือหนักกว่านั้นคือสมถะเป็นเครื่องถ่วง
ไม่ให้สนใจวิปัสสนา
ติดสมถะแล้วคือได้ไปเป็นพรหม
หมดสิทธิ์เข้าถึงมรรคผลนิพพาน
สมถะเลยถูกมองเป็นผู้ร้าย
และเห็นวิปัสสนาเป็นพระเอก
ข้อเท็จจริงก็คือไม่มีใครเป็นผู้ร้าย
ไม่มีใครเป็นพระเอก
มีแต่ขาสองข้างที่พาเราเดินไปถึงฝั่ง
ขาดข้างใดข้างหนึ่งก็เรียกว่าขาเป๋
เดินลำบาก ไปถึงปลายทางได้ยาก
หรือยิ่งถ้าขาข้างที่เหลือป้อแป้ปวกเปียก
ก็อาจออกจากจุดเริ่มต้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
คำว่า "วิปัสสนา" นั้น
รากของนิยามมาจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในวิธีเจริญสติ
ใจความคือให้
"ดูกายใจนี้ตามจริงเท่าที่ปรากฏอยู่เป็นปกติ"
และที่เป็นปกติเลยก็คือทั่วทั้งกายใจนี้
กำลังแสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา
นับตั้งแต่ลมหายใจเข้าออกไปจนกระทั่งความรู้สึกนึกคิด
ใครจะทำหรือไม่ทำวิปัสสนา
กายใจก็แสดงความจริงอยู่อย่างนั้น
ผู้ทำวิปัสสนาเพียงแต่เข้าไปดู เข้าไปรู้อย่างยอมรับเท่านั้นเอง
ฟังดูเหมือนง่าย
แต่ลงมือทำจริงจะยาก
นั่นก็เพราะจิตกระเพื่อมด้วยพลังกระตุ้นของกิเลสอยู่เรื่อยๆ
เช่น แค่ไม่อยากยอมรับว่าเราเป็นฝ่ายผิด
จิตจะบิดเบี้ยว กิเลสจะกระตุ้นให้หาเหตุผลสารพัด
มาพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก
คนเราสั่งสมนิสัยเช่นนี้กันโดยมาก
คนส่วนใหญ่จึงมีจิตที่ยอมรับตามจริงได้ยาก
หรืออย่างตอนฟุ้งซ่านหาทางแก้ตัวอยู่
ตอนฟุ้งซ่านหาทางมีความสัมพันธ์ทางเพศ
ตอนฟุ้งซ่านหาทางแก้เผ็ดคนที่ทำให้เราเจ็บใจ
จะไม่มีสิทธิ์เห็นความฟุ้งซ่าน
และความฟุ้งซ่านย่อมบดบังทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นโลกภายนอกที่ปรากฏตรงหน้า
หรือจะเป็นโลกภายในทางกายทางใจใดๆ
การทำสมถะจึงมีบทบาทสำคัญ ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ยังกระเพื่อมไหวอยู่มาก
หากอาศัยสมถะมาช่วย ก็จะเห็นอะไรชัดกระจ่างแตกต่างไป
สรุปว่าสมถะคือการลดระดับความกระเพื่อมไหว
หรือสมถะคือการรักษาจิตไว้ไม่ให้กระเพื่อมไหวก็ได้
ประเด็นคือเมื่อจิตลดความกระเพื่อมไหวแล้ว
จึงค่อยมีความสามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ
ไม่ใช่เห็นแบบโคลงเคลง ไม่ใช่เห็นแบบโยกไปไหวมา



๓) จะต้องเริ่มด้วยสมถะหรือวิปัสสนาก่อน?

มักมีการอ้างถึงพระอานนท์
ที่ท่านใจกว้าง เปิดรับทั้งลูกศิษย์ที่ชอบทำสมถะก่อนวิปัสสนา
หรือแบบที่อยากทำวิปัสสนาก่อนสมถะ
ตลอดจนแบบที่อยากทำทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
ความจริงก็คือถ้าเราดูที่ตัวเองอย่างเข้าใจ
ว่าเหมาะกับอะไร
ไม่ถือเอาตายตัวเป็นสากลว่าเริ่มอันไหนก่อนถึงจะดีกว่า
ปัญหาก็จะหมดไป และไม่ต้องกังขาอยู่เนืองๆ
ยกตัวอย่างถ้าเป็นคนกลัดกลุ้มรุ่มร้อนในราคะ โทสะ โมหะอยู่เรื่อยๆ
ก็อย่าเพิ่งฝืนทำวิปัสสนาให้ยาก
ต้องหาทางลดความรุ่มร้อนลงเสียบ้าง
เช่น ลดเหตุแห่งความตรึกนึกถึงเรื่องกามและเรื่องโกรธ
หันมาแผ่เมตตาหรือปลงสังเวชในความเน่าเปื่อยแห่งกายเสียบ้าง
พอร้อนเปลี่ยนเป็นเย็น พอทะยานอยากเปลี่ยนเป็นสงบระงับ
จิตถึงค่อยพร้อมจะเห็นตามจริงแบบวิปัสสนาได้
แต่หากเป็นคนยอมรับตามจริงได้ง่ายมาแต่ไหนแต่ไร
เคยมีนิสัยเห็นประโยชน์ตามที่มันเป็นประโยชน์
เห็นโทษตามที่มันเป็นโทษ สำนักผิดตามที่ทำผิด
กับทั้งรักษาวาจาสัตย์ พูดคำไหนคำนั้นไม่กลับกลอก
ไม่พูดเอาดีเข้าตัว ไม่โยนชั่วให้คนอื่น
เช่นนี้ไม่ต้องพยายามทำสมถะมากก็ยกขึ้นวิปัสสนาได้เลย
ทำวิปัสสนาไป เดี๋ยวจิตคลายความยินดีในกิเลสทั้งหลาย
กลายเป็นสมถะไปในตัวได้เอง



๔) อานาปานสติคืออะไร?

อานาปานสติเป็นทั้งการทำสมาธิและการเจริญสติ
เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาในคราวเดียวกัน
แต่อย่างที่กล่าวแล้วว่าต้องมี "ความเข้าใจ" เป็นทุนก้อนแรกไว้ก่อน
หากปราศจากความเข้าใจแล้ว
อานาปานสติอาจเป็นสมาธิเก๊ๆ เป็นการเจริญสติเทียมๆ
หรืออาจเป็นสมถะถ่วงความเจริญ หรืออาจเป็นวิปัสสนายาพิษ
แทนที่จะเห็นอะไรตามจริง
กลับเห็นแต่อะไรที่ส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าข้างตัวเอง
พอกพูนมานะอัตตาให้ยิ่งๆขึ้นไปได้ทุกวัน
ขอให้ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง
หากกล่าวว่าอานาปานสติเป็นสมาธิ
ก็หมายความว่าเป็นสมาธิ
ที่อาศัยลมหายใจเป็นหลักตรึงจิตให้ตั้งมั่น
หากกล่าวว่าอานาปานสติเป็นการเจริญสติ
ก็ต้องหมายความว่าเป็นการเจริญสติ
ที่อาศัยการยอมรับตามจริงว่าลมหายใจไม่เที่ยง
ยอมรับตามจริงว่าเมื่อใดถึงเวลาเข้า เมื่อใดถึงเวลาออก
เมื่อถึงเวลาควรหยุด
กระทั่งเห็นชัดขึ้นมาเองว่าลมหายใจนั้น
เข้าแล้วต้องออก ออกแล้วต้องหยุด หยุดแล้วก็ต้องเข้าใหม่
เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น หาความเที่ยงไม่ได้
มีแต่ภาวะพัดไหวของธาตุลม
ไม่ได้ต่างจากสายลมที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าแม้แต่นิดเดียว
เห็นจนพอ ในที่สุดจิตก็ยอมรับตามจริงว่าลมไม่เที่ยง
ไม่มีลมไหนเลยในชีวิตที่เป็นตัวเรา
ไม่มีลมไหนเลยที่เป็นบุคคล ตัวตน เราเขา
แม้สุขที่เกิดจากอานาปานสติ
ตั้งอยู่ได้นานแค่ไหนก็ต้องเสื่อมลงเป็นธรรมดา
ไม่ต่างจากลมหายใจแต่อย่างใดเลย
เมื่อเข้าใจอยู่ด้วยมุมมองข้างต้น
คำว่าสมถะและวิปัสสนาก็กลายเป็นเครื่องเสริมกัน
ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องมาตีกันในอานาปานสติ
ลมหายใจและความสุขสดชื่นจะเป็นเครื่องล่อใหม่
ให้จิตของเราผละออกมาจากเหยื่อล่อแบบโลกๆ
นั่นถือเป็นสมถะ ยกจิตให้พร้อมรู้
และความไม่เที่ยงของลมหายใจที่ปรากฏให้รู้
ก็จะก่อให้เกิดปัญญาเห็นตามจริง
กระทั่ง "ทิ้ง" อุปาทาน เกิดปรากฏการณ์มรรคผลขึ้นในที่สุด


๕) ทำอานาปานสติควรลืมตาหรือหลับตา?

คำตอบคือขึ้นอยู่กับว่าเรามีเวลาเท่าไร ทำที่ไหน
มีเวลามากสักชั่วโมงหลับตาก็ดีจะได้ไม่วอกแวก
มีเวลาน้อยตอนคอยใครจะลืมตาก็ดีจะได้ไม่หลงเพลิน
ในอานาปานสติสูตร
พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเจาะจงให้ลืมตาหรือหลับตา
แต่ขอให้พิจารณาตามจุดยืนจริงๆของแต่ละคน แต่ละขณะ
ถ้าลืมตาจะวอกแวกตามเหยื่อล่อสายตาไหม?
ถ้าหลับตาจะเคร่งเครียดเห็นนิมิตล่อใจวุ่นวายไหม?
ถ้ากำลังลืมตาหรือหลับตาแล้วเกิดข้อเสียใดๆ
ก็สลับกันเสีย เพื่อขับไล่ข้อเสียนั้นๆไป เท่านี้ก็จบ
หากลืมตาแล้วรู้ลมหายใจได้ต่อเนื่อง ก็ควรลืมตาให้มาก
หากหลับตาถึงจะรู้ลมหายใจได้นานๆ ก็ควรหลับตาให้ต่อเนื่อง
อย่าไปกลัว หรือไปยึดรูปแบบว่าจะเอาอย่างไหนถึงจะถูก
เพราะมันถูกตรงจิต ตรงสติ ตรงความสามารถรู้ความไม่เที่ยง
ไม่ใช่ถูกตรงหลับตาหรือลืมตา
สำหรับคนส่วนใหญ่จะพบว่าการหลับตา
คือการปิดกั้นเครื่องรบกวนสายตา อันนี้ก็ถูก
แต่สำหรับคนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกรบกวนด้วยเครื่องล่อตาง่ายๆ
และสมัครใจลืมตาทำอานาปานสติ อันนี้ก็อย่าว่ากัน


๖) ทำอานาปานสติควรนั่งขัดสมาธิหรือนั่งเก้าอี้?

ถ้านั่งขัดแข้งขัดขานานๆกล้ามเนื้อจะหดเกร็ง
และยิ่งถ้าได้ความพยายามเพ่งลมหายใจมาเสริมสักพักเดียว
ก็อาจพบว่าเหน็บกินเหมือนร่ำๆจะพิการได้
แรกเริ่มจึงควรนั่งเก้าอี้ก่อนอย่าไปติดยึดว่านั่งขัดสมาธิได้
ถึงจะเก่งหรือถึงจะถูกเมื่อนั่งเก้าอี้เจริญอานาปานสติจนบังเกิดความชุ่มชื่นแล้ว
คุณจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อผ่อนคลายสบายมากเพราะร่างกายหลั่งสารดีๆออกมา
และจิตก็ไม่ก่ออาการบีบคั้นร่างกายดังเคยถึงตรงนั้นถ้าเลื่อนขั้นมานั่งขัดสมาธิ
ก็จะได้ความสมดุลครบวงจรตามที่พระพุทธเจ้าแนะว่าอานาปานสติที่สมบูรณ์

๗) เสียงช่วยกำกับการฝึกอานาปานสติมีประโยชน์อย่างไร?

ปกตินักทำสมาธิหรือนักเจริญอานาปานสติมือใหม่จะจับทิศจับทางไม่ถูก
ได้หน้าลืมหลัง ไม่รู้จะเริ่มหนึ่ง สอง สามอย่างไรถ้ามีเสียงบอกคอยช่วย
ก็จะมีประโยชน์ตรงที่ไม่ต้องหลงทางเหมือนคนเพิ่งฟื้นจากสลบกลางหมอกจัด
ถ้ามีใครมาจูงมือและคอยบอกว่าต้องก้าวขึ้นบันไดอย่างไรเตือนให้ช้าหรือเร่งให้เร็ว
ตามความเหมาะสมที่จังหวะไหนโอกาสจะเข้าเขตปลอดโปร่ง
ไม่ต้องหลงวกวนค่อยสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม
เมื่อจับหลักได้ถูกต้องแม่นยำแล้วก็ไม่ควรอาศัยเสียงเป็นเครื่องช่วยกำกับ
เพราะเสียงเป็นปฏิปักษ์กับสมาธิจิตถ้าคอยพะวงฟังเสียงหรือแปลความหมายของเสียงอยู่
จิตก็จะไม่วิเวกเต็มรอบ เข้าถึงฌานได้ยาก

สงบจิตด้วยการนั่งสมาธิ


ปฏิบัติทำไมมันถึงยากถึงลำบาก เพราะว่ามันอยาก พอไปนั่งสมาธิปุ๊บก็ตั้งใจว่าอยากจะให้มันสงบ ถ้าไม่มีความอยากให้สงบก็ไม่นั่งไม่ทำอะไร พอเราไปนั่งก็อยากให้มันสงบ เมื่ออยากให้มันสงบ ตัววุ่นวายก็เกิดขึ้นมาอีก ก็เห็นสิ่งที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นมาอีก มันก็ไม่สบายใจอีกแล้ว นี่มันเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่ายืนให้เป็นตัณหา อย่านั่งให้เป็นตัณหา อย่านอนให้เป็นตัณหา อย่าเดินให้เป็นตัณหา ทุกประการนั้นอย่าให้เป็นตัณหา ตัณหาแปลว่าความอยาก ถ้าไม่อยากจะทำอะไรเราก็ไม่ได้ทำ อันนั้นปัญญาของเราไม่ถึง ทีนี้มันก็เลยอู้เสีย ปฏิบัติไปไม่รู้จะทำอย่างไร พอไปนั่งสมาธิปุ๊บ ก็ตั้งความอยากไว้แล้ว

อย่างพวกเราที่มาปฏิบัติอยู่ในป่านี้ ทุกคนต้องอยากมาใช่ไหม นี่จึงได้มา อยากมาปฏิบัติที่นี้ มาปฏิบัตินี่ก็อยากให้มันสงบ อยากให้มันสงบก็เรียกว่าปฏิบัติเพราะความอยาก มาก็มาด้วยความอยาก ปฏิบัติก็ปฏิบัติด้วยความอยาก เมื่อมาปฏิบัติแล้วมันจึงขวางกัน ถ้าไม่อยากก็ไม่ได้ทำ จึงเป็นอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างไรกับมันล่ะ


๏ อย่าให้ตัณหาเข้าครอบงำในการปฏิบัติ

การกระทำความเพียรก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่า อย่าทำให้เป็นตัณหา อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่าฉันให้เป็นตัณหา ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ทุกประการท่านไม่ให้เป็นตัณหา คือทำด้วยการปล่อยวาง เหมือนกับซื้อมะพร้าว ซื้อกล้วยมาจากตลาดนั่นแหละ เราไม่ได้เอาเปลือกมันมาทานหรอก แต่เวลานั้นยังไม่ถึงเวลาจะทิ้งมัน เราก็ถือมันไว้ก่อน การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เหมือนกันฉันนั้น

สมมุติวิมุติมันก็ต้องปนอยู่อย่างนั้น เหมือนกับมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือกทั้งกะลาทั้งเนื้อมัน เมื่อเราเอามาก็เอามาทั้งหมดนั่นแหละ เขาจะหาว่าเราทานเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขาปะไร เรารู้จักของเราอยู่เช่นนี้เป็นต้น อันความรู้ในใจของตัวเองอย่างนี้ เป็นปัญญาที่เราจะต้องตัดสินเอาเอง นี้เรียกว่าตัวปัญญา ดังนั้น การปฏิบัติเพื่อจะเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เอาเร็วและไม่เอาช้า ช้าก็ไม่ได้ เร็วก็ไม่ได้ จะทำอย่างไรดี ไม่มีช้า ไม่มีเร็ว เร็วก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง ช้าก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง มันก็ไปในแบบเดียวกัน


๏ ตั้งใจทำสมาธิมากเกินไป ก็กลายเป็นความอยาก

แต่ว่าพวกเราทุกๆ คนมันร้อนเหมือนกันนะ มันร้อน พอทำปุ๊บก็อยากให้มันไปไวๆ ไม่อยากจะอยู่ช้า อยากจะไปหน้า การกำหนดตั้งใจหาสมาธินี้ บางคนตั้งใจเกินไป บางคนถึงกับอธิษฐานเลย จุดธุปปักลงไป กราบลงไป “ถ้าธูปดอกนี้ไม่หมด ข้าพเจ้าจะไม่ลุกจากที่นั่งเป็นอันขาด มันจะล้ม มันจะตาย มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน จะตายอยู่ที่นี้แหละ”

พออธิษฐานตั้งใจปุ๊บก็นั่ง มันก็เข้ามารุมเลย พญามาร นั่งแพล็บเดียวเท่านั้นแหละ ก็นึกว่าธูปมันคงจะหมดแล้วเลยลืมตาขึ้นมาดูสักหน่อย โอ้โฮ ยังเหลือเยอะ กัดฟันเข้าไปอีก มันร้อนมันรน มันวุ่นมันวาย ไม่รู้ว่าอะไรอีก เต็มทีแล้ว นึกว่ามันจะหมด ลืมตาดูอีก โอ้โฮ ยังไม่ถึงครึ่งเลย สองทอดสามทอดก็ไม่หมด เลยเลิกเสีย เลิกไม่ทำ นั่งคิดอาภัพอับจน แหม ตัวเองมันโง่เหลือเกิน มันอาภัพ มันอย่างโน้นอย่างนี้ นั่งเป็นทุกข์ว่าตัวเองเป็นคนไม่จริง คนอัปรีย์ คนจัญไร คนอะไรต่อมิอะไรวุ่นวาย ก็เลยเกิดเป็นนิวรณ์ นี่ก็เรียกว่าความพยาบาทเกิด ไม่พยาบาทคนอื่น ก็พยาบาทตัวเอง อันนี้ก็เพราะอะไร เพราะความอยาก


๏ ทำสมาธิด้วยการปล่อยวาง อย่าทำด้วยความอยาก

ความเป็นจริงนั้นนะ ไม่ต้องไปทำถึงขนาดนั้นหรอก ความตั้งใจนะคือตั้งใจในการปล่อยวาง ไม่ต้องตั้งใจในการผูกมัดอย่างนั้น อันนี้เราไปอ่านตำราเห็นประวัติพระพุทธเจ้าว่า ท่านนั่งลงที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ท่านอธิษฐานจิตลงไปว่า “ไม่ตรัสรู้ตรงนี้จะไม่ลุกหนีเสียแล้ว แม้ว่าเลือดมันจะไหลออกมาอะไรก็ตามทีเถอะ”

ได้ยินคำนี้เพราะไปอ่านดู แหม เราก็จะเอาอย่างนั้นเหมือนกัน จะเอาอย่างพระพุทธเจ้าเหมือนกันนี่ ไม่รู้เรื่องว่ารถของเรามันเป็นรถเล็กๆ รถของท่านมันเป็นรถใหญ่ ท่านบรรทุกทีเดียวก็หมด เราเอารถเล็กไปบรรทุกทีเดียวมันจะหมดเมื่อไหร่ มันคนละอย่างกัน เพราะอะไรมันถึงเป็นอย่างนั้น มันเกินไป บางทีมันก็ต่ำเกินไป บางทีมันก็สูงเกินไป ที่พอดีๆ มันหายาก


๏ สมาธิและนิวรณ์ 5

สมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต ได้แก่ ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป ศาสนาพุทธเน้นในสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่ใช้ในทางแห่งการหลุดพ้น โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง ไม่ใช่การหวังผลสนองตัณหาความอยาก เช่น อวดฤทธิ์ อวดความสามารถ เป็นต้น


๏ สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ

1. ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่ง เป็นสมาธิขั้นต้นที่บุคคลทั่วไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ในการงานประจำวัน

2. อุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่ตั้งได้นานหน่อย ใกล้ที่จะได้ฌาน เกิดนิมิตต่างๆ เช่น เห็นแสงสว่างอยู่ระยะหนึ่ง

3. อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแน่วแน่ถึงฌาน เป็นการทำสมาธิขั้นสูงสุด

สมาธิใช้สำหรับปราบกิเลสอย่างกลาง ที่จำเพาะเกิดขึ้นในใจคือ นิวรณ์ 5 เมื่อกายวาจาสงบเรียบร้อยแล้ว แต่บางทีจิตยังไม่สงบ คือยังมีความกำหนัด ความโกรธ ดีใจ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ตื่นเต้น กลัว รำคาญ หรือสงสัย ลังเลอยู่ อาจล่วงถึงกายวาจาได้ เช่น สีหน้าผิดปกติ เมื่อกระทบอารมณ์รุนแรงเข้าก็ถึงออกปาก ด่าว่า ทุบตี ฆ่าฟัน เป็นต้น

ศีลมีหน้าที่ตั้งจิต งดเว้นไม่ทำบาปด้วย กาย วาจา สมาธิมีหน้าที่รักษาจิต ให้สงบจากนิวรณ์ทั้งห้า มิให้เศร้าหมอง เพราะความกำหนัด ขัดเคือง ใจหดหู่ ฟุ้งซ่าน ตื่นเต้น กลัว รำคาญ และสงสัย ลังเล ในอารมณ์ ต่างๆ เหล่านั้น นิวรณ์ 5


๏ นิวรณ์ 5

คือ ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี เป็นข้าศึกแก่สมาธิ มี 5 อย่างคือ

1. กามฉันท์ คือ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป หรือความพอใจในกาม
2. พยาบาท คือ การปองร้ายผู้อื่น
3. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
5. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย

นิวรณ์นั้นเป็นข้าศึกแก่สมาธิ เวลามีนิวรณ์ สมาธิก็ไม่มี เวลามีสมาธิ นิวรณ์ก็ไม่มี เหมือนมืดกับสว่าง เวลามืดสว่างไม่มี เวลาสว่างมืดก็หายไป จะนำมารวมกันไม่ได้

นิวรณ์เกิดจากสัญญา (ความจำได้หมายรู้) และจากสังขาร (ความปรุงแต่งทางจิตบางอย่างเข้ามายั่วยวนให้เกิดนิวรณ์) นิวรณ์เกิดขึ้นที่จิตเพียงแห่งเดียว แต่มีผลต่อแห่งอื่นๆ สาเหตุที่เกิดนิวรณ์ เช่น คนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น เมื่อตาเห็นรูป ก็จะเลือกดูแต่รูปที่ดี จะต้องคิดนึกถึงรูปปานกลาง และรูปเลวด้วย คือ ต้องนึกถึงไตรลักษณ์เป็นหลักพิจารณาอยู่เสมอ จะได้ไม่หลง

ถ้าจะให้จิตอยู่ในอารมณ์พระนิพพานอยู่เสมอ เมื่อเห็นอะไรก็ต้องพิจารณาให้เข้าสู่ไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลา แม้เกี่ยวกับการได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ฯลฯ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นพระไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน การเพ่งสมาธิวิปัสสนา ให้เพ่งพระพุทธรูป (พุทธานุสสติ), กายาคตาสติ อสุภะดีที่สุด เมื่อเพ่งจนเกิดสมาธิแล้วก็พิจารณาไปสู่พระไตรลักษณ์ หรืออีกวิธีคือ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ทั้งปวงอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติกันว่าเป็นสุข แต่พระอริยะเจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นทุกข์ การยินดีในสุภนิมิต เช่นนี้เรียกว่า กามฉันท์

ผู้มีกามฉันท์นี้ควรเจริญกายาคตาสติ พิจารณาเห็นร่างกายให้เห็นเป็นปฏิกูล

พยาบาทเกิดขึ้นเพราะความคับแค้นใจ ผู้มีพยาบาทชอบโกรธเกลียดผู้อื่นอยู่เสมอๆ ควรเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา คิดให้เกิดความรัก เมตตาสงสารผู้อื่น

ผู้มีความเกียจคร้านท้อแท้อยู่ในใจ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน เรียกว่าถูกถีนมิทธะครอบงำ ควรเจริญอนุสสติกัมมัฎฐาน พิจารณาความดีของตนและผู้อื่น เพื่อจะได้มีความอุตสาหะทำงาน แก้ความท้อแท้ใจเสียได้

ความฟุ้งซ่าน รำคาญ เกิดจากการที่จิตไม่สงบ ควรเพ่งกสิณให้ใจผูกอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือเจริญกัมมัฏฐานให้ใจสังเวช เช่น มรณสติ

ความลังเลไม่ตกลงได้ เนื่องจากไม่ได้พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน ควรเจริญธาตุกัมมัฏฐาน เพื่อจะได้รู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง

ธรรมทั้ง 5 ประการนี้เมื่อเกิดกับผู้ใด ย่อมจะเป็นธรรมอันกั้นจิตไม่ให้ผู้นั้นบรรลุความดีหรือสิ่งที่ตนประสงค์ได้ ฉะนั้น ผู้หวังความสำเร็จในชีวิตควรเว้นจากนิวรณ์ 5 ประการนี้

ประโยชน์ของสมาธิ



ประโยชน์ของสมาธิ พูดได้หลายอย่าง เช่น ประโยชน์ทางด้านอภิญญา ประโยชน์ทางด้านศาสนา ประโยชน์ทางด้านบุคลิกภาพ ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

1.ประโยชน์ทางด้านอภิญญา เช่น ฝึกสมาธิแล้วได้อภิญญา(ความสามารถพิเศษเหนือสามัญชน) ได้แก่ หูทิพย์ ตาทิพย์ ทายใจคนอื่นได้ แสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ ประโยชน์ด้านนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระศาสนาโดยตรง

2.ประโยชน์ที่เป็นจุดหมายทางพุทธศาสนา แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ

(1) ประโยชน์ระดับต้น ฝึกสมาธิไประยะหนึ่ง จิตจะหายฟุ้งซ่าน จนถึงระดับได้ฌาน สามารถใช้สมาธิที่ได้ระงับ หรือข่มกิเลสได้ชั่วคราว แค่นี้ก็เรียกได้ว่าได้ "วิมุตติ"(หลุดพ้น)ระดับหนึ่งแล้ว เรียกว่า วิกขัมภมวิมุติ (หลุดพ้นด้วยข่มไว้)ตราบใดที่ยังข่มได้อยู่ เจ้ากิเลสมันก็ไม่ฟุ้งดอกครับ อย่าเผลอก็แล้วกันเผลอเมื่อได เดี๋ยว "จะเป็นเรื่อง"

เมื่อท่านเจ้าประคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) เทศน์สองธรรมาสน์กับ สมเด็จวัดเทพศิรินทร์ เจ้าคุณอุบาลีฯท่านอธิบายเรื่องกิเลส โลภ โกรธ หลง ยกศัพท์ยกแสงขึ้นมาอธิบายอย่างละเอียด สมเด็จท่านทักขึ้นว่า"แหม ว่าละเอียดเชียวนะ โลภมาจากธาตุนั้นปัจจัยนี้… ไหนลองบอกดูวิว่า ลาว มาจากธาตุอะไร" (ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯท่านเป็นชาวอีสาน ที่คนภาคกลางมักจะเรียกเหยียดๆว่า "ลาว")

ท่านเจ้าคูณอุบาลีฯ ตอบว่า ลาว ภาษาบาลีว่า ลาโว แปลว่า "ผู้ตัด" มาจาก ลุ ธาตุ วิเคราะห์ว่า ลุนาตีติ ลาโว = ผู้ใดย่อมตัดผู้นั้นชื่อว่าลาว" "ตัดอะไร" สมเด็จซัก "ตัดหางเปียเจ็ก" เจ้าคุณอุบาลีฯสวนขึ้นทันที(สมเด็จท่านมีเชื้อสายจีนชาวชลบุรีครับ) สมเด็จไม่ทันระวังตัว เพราะมัวไปแขวะคนอื่นเพื่อความมันส์โกรธหน้าแดงเลย นี่แหละครับ กิเลสที่มันสงบอยู่ดุจหญ้าถูกหินทับ พอถูกสะกิดเท่านั้นมันก็ฟุ้งขึ้นมาได้ ยกเรื่องจริงในยุทธจักรดงขมิ้นมาเล่าประดับความรู้ครับ

(2) ประโยชน์ระดับสูงสุด ก็คือสมาธิอันเป็นบาทฐานวิปัสนาพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายรู้แจ้งไตร-
ลักษณ์ กำจัดกิเลสได้โดยสิ้นเชิง พูดอีกในหนึ่งก็คือสมาธินำไปสู่ความเป็นพระอรหันต์นั้นแหละครับ

3.ประโยชน์สมาธิในด้านพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ที่ฝึกสมาธิประจำ ย่อมมีบุคลิกภาพที่พึงปรารถนาหลาย
ประการเช่น

(1) มีบุคลิกหนักแน่น เข้มแข็ง
(2) มีความสงบเยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียวเกรี้ยวโกรธ
(3) มีความสุภาพ นิ่มนวล ท่าทีมีเมตตากรุณา
(4) สดใส สดชื่น เบิกบาน
(5) สง่า องอาจ น่าเกรงขาม
(6) มีความมั่นคงทางอารมณ์
(7) กระฉับกระเฉง ไม่เซื่องซึม
(8) พร้อมเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ฉับไว ไม่ต้องอธิบาย เพียงเอ่ยถึง
ก็คงเข้าใจแล้วนะครับ

4.ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน คนมักถามว่าฝึกสมาธิแล้วได้ประโยชน์อะไรในชีวิตประจำวัน ฝึกแล้ว
บรรลุมรรคผลนิพพานน่ะ รู้แล้วว่าพระคัมภีร์พูดไว้จริง แต่ได้จริงหรือเปล่า ยังไม่เคยเห็น ถ้าจะให้ทำเองก็ไม่ทราบว่าเมื่อไรจะเห็นผล เอาในชีวิตประจำวันเห็นๆกันนี้ดีกว่าว่าฝึกแล้วได้อะไร ได้มากมายทีเดียวกันเช่น

(1) ทำให้ใจสบาย ไม่เครียด มีความสุข ผ่องใส
(2) หายหวาดกลัว หายกระวนกระวายโดยไม่จำเป็น
(3) นอนหลับง่าย ไม่ฝันร้าย สั่งตัวเองได้(เช่น สั่งให้หลับหรือตื่นตามเวลาที่กำหนดไว้ได้)
(4) กระฉับกระเฉง ว่องไว รู้จักเลือกและตัดสินใจเหมาะแก่สถานการณ์
(5) มีความแน่วแน่ในจุดหมาย มีความใฝ่สัมฤทธิ์สูง
(6) มีสติสัมปชัญญะดี รู้เท่าปรากฏการณ์ และยับยั้งใจได้ดีเยี่ยม
(7) มีประสิทธิภาพในการทำงาน ทำกิจกรรมสำเร็จด้วยดี
(8) ส่งเสริมสมรรถภาพมันสมอง เรียนหนังสือเก่ง ความจำดีเยี่ยม
(9) เกื้อกูลต่อสุขภาพร่างกาย เช่นชะลอความแก่ หรืออ่อนกว่าวัย
(10) รักษาโรคบางอย่าง เช่น โรคเครียด โรคท้องผูก โรคความดันโลหิต โรคหืด

โรคกายจิต(อ่านว่าโรค กา-ยะ-จิต ) หมายถึง ไม่เป็นโรค แต่ใจคิดว่าเป็น คิดบ่อยๆเข้าก็เลยเป็นจริงๆ อาการอย่างนี้ฝึกสมาธิสักพักเดียวก็หาย

9 วิธีทำบุญไม่เสียตังค์






1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง


2.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆ ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์


3.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึง ไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น


4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย


5.ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจ จะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้


6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และจริงใจด้วย ดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกัน คนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้น เพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป


7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต


8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่ และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป


9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวน คิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควร

พระศาสดาบอกวิธีแก้ง่วงขณะบำเพ็ญเพียร


พระโมคคัลลานะ อุปสมบทแล้วได้ 7 วัน ก็ไปบำเพ็ญเพียรในที่สงบ แต่แล้วก็ถูกความง่วงเข้าครอบงำ ทำให้ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้เป็นปกติ พระศาสดาจึงทรงบอกวิธีแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ

1. เมื่อกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ ให้คิดถึงสิ่งนั้นเข้าไว้ จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
2. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้คิดทบทวนถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้วอย่างละเอียด จะทำให้หายง่วงได้
3. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ท่องธรรมที่ได้เรียนมาดังๆ
4. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้แยงหูทั้งสองข้าง แล้วใช้ฝ่ามือลูบไปตามตัว
5. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ลุกขึ้นแล้วลูบหน้าด้วยน้ำ และเหลียวไปรอบๆ หรือ แหงนหน้าขึ้น จะทำให้หายง่วงได้
6. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้นึกว่านี่เป็นเวลากลางวันที่มีแสงอาทิตย์ สว่างไสวไปหมด จะทำให้หายง่วงได้
7. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ลุกขึ้นเดินจงกรม เพื่อให้จิตมีสติรู้เท่าทันการเคลื่อนไหว
8. ถ้ายังไม่หายง่วง ให้นอนในท่าสีหไสยา คือ ตะแคงขวา ตั้งสติว่าจะตื่นอยู่เสมอ และจะไม่ยินดีกับการนอน หรือ การเคลิ้มหลับ จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

การฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ


แต่งกายให้สะอาดเรียบร้อย บูชาพระ ทำใจเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ให้แน่นอน กล่าววาจานมัสการพระรัตนตรัย นึกในใจหรืออกเสียงก็ได้ ภาษาบาลีหรือภาษาไทยก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านมีจิตเป็นทิพย์ ท่านฟังรู้เรื่องหมด จะมีดอกไม้ธูปเทียนหรือไม่มีก็ได้
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อาระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ( 3 จบ)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ พระองค์นั้น ( 3 ครั้ง)
พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมคำสอน เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระอริยสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

ต่อไปก็ตั้งใจ กำหนดไว้ในใจว่า จะรักษาศีล 5 ตลอดชีวิตดังนี้
1) เราจะไม่ฆ่าสัตว์ ทรมานคน สัตว์ ให้ตาย หรือให้ได้รับความเดือดร้อนตลอดชีวิต
2) เราจะไม่ลักขโมย คดโกง หลอกลวง ในทรัพย์สินเงินทอง ของคนอื่นมาเป็นของเราตลอดชีวิต
3) เราจะไม่ทำเจ้าชู้ ลูก สามี ภรรยา และคนในปกครองของผู้อื่นโดยที่ผู้ปกครองและเจ้าของไม่อนุญาต ตลอดชีวิต
4) เราจะไม่พูดปดคือวาจาที่ไม่ตรงความจริง ไม่พูดวาจาหยาบคายให้เป็นที่สะเทือนของผู้รับฟัง ไม่ยุ หรือนินทาคนอื่น ให้เป็นเครื่องบาดหมาง หรือแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ตลอดชีวิต
5) เราจะไม่ดื่มสุราเมรัย เล่นพนัน ติดฝิ่น ยาบ้า ยาระงับประสาททุกชนิด ตลอดชีวิต
6) เราจะไม่คิดอยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยความเต็มใจตลอดชีวิต
7) เราจะไม่จองเวร จองล้าง จองผลาญ จองกรรม คิดพยาบาท แก้แค้นในบุคคล ที่ทำให้เราไม่พอใจ ถ้าไม่หนักเกินไป เราจะให้อภัยแก่ผู้นั้นตลอดชีวิต
เราจะไม่ฝ่าฝืนพระธรรมคำสอน มีศีลเป็นต้น จะปฏิบัติตามคำสอนด้วยความเคารพ ตลอดชีวิต
ทั้งหมดจะกล่าวเบา ๆ หรือคิดในใจก็ได้ พระพุทธองค์ทรงทราบได้ แล้วสมาทานพระกรรมฐานด้วย ตั้งนะโม 3 จบ แล้วกล่าวดังนี้

อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจัจ ชามิ แปลว่า ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
สมาทานแล้ว กราบ 3 ครั้ง ด้วยความเคารพ ต่อไปเริ่มทำสมาธิ การนั่งอย่าลืมว่าเราปฏิบัติที่จิต เราไม่ได้หัดนั่ง หัดยืน หัดเดิน ดังนั้นควรทำกายให้สบาย จิตจะได้ฝึกให้เป็นสมาธิ คือจิตตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว ไม่วอกแวกๆไปไหน ได้ง่าย ๆ จะนั่งท่าไหนก็ได้ตามแต่ร่างกายจะสบาย จะยืนเดิน ก็ได้ไม่ห้าม อย่าฝืนร่างกายต้องทุกข์ทรมาน จิตจะไม่เป็นสมาธิ
บทภาวนาในที่นี้ ขอแนะนำให้ภาวนา พุทโธ เพราะสั้น ง่าย มีอานิสงส์ มีบุญมาก เพราะเป็นนามของพระพุทธเจ้า หายใจเข้านึกตามลมหายใจเข้า เร็ว ลึก ตื้น ให้สังเกตลมนึกว่า พุท หายใจออกจิตดูลมออกจากปอดถึงปลายจมูกเร็วหรือสั้นนึกว่า โธ จำภาพพระพุทธรูปที่วัดไหน แบบใดก็ได้ที่ชอบ ถ้าพระพุทธรูปอยู่ใกล้ ให้ลืมตาดูพระพุทธรูป พอจำได้ดีแล้ว หลับตา นึกถึงภาพพระ กำหนดลมหายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ ไปด้วย ถ้าภาพเลื่อนไปจากใจ ให้ลืมตาดูใหม่ ในไม่ช้าจิตจะทรงสมาธิ พุท-โธ ได้ดี ไม่ต้องมองภาพพระ ก็สามารถนึกถึงภาพพระได้ตลอดเวลา ติดตาติดใจอย่างนี้ ท่านเรียกว่า จิตเป็นฌาน

การทำสมาธินี้ ท่านจะทำได้ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าจะขับรถ วิ่ง ทำงาน รับประทานอาหาร หรืออยู่ในห้องส้วม หรือก่อนนอน ตื่นนอน ได้ตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่ ให้ทำแบบคนไม่มีเวลาที่จะหยุดทำสมาธิ งานทางโลกจะดีเกิดคาด เพราะได้ทางธรรม คืองานทางจิตด้วย เมื่อจิตสะอาด ฉลาด งานทางโลก ซึ่งเป็นงานทางกายก็สำเร็จ เพราะจิตเป็นสมาธิ งานไม่ขาดตกบกพร่อง
ภาวนาดูลมหายใจเข้าออก นึกพุทโธ ควบคู่กันไป แต่ถ้าเกิดอารมณ์หงุดหงิด หรือฟุ้งซ่านตั้งอารมณ์ไม่อยู่จงเลิกเสีย จะเลิกเฉยๆ หรือดูโทรทัศน์ คุยกับเพื่อนให้อารมณ์สบาย อย่ากำหนดเวลาตายตัว จะต้องนั่งให้ครบเวลา อย่าเครียด ทำให้สนุก สนุกกับงานทางจิต ถ้าเครียดก็เลิกทำ ทำอย่างอื่นหรือพิจารณาธรรมชาติของโลก ร่างกาย ชีวิตมีแต่ปัญหายุ่งยาก เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่อยู่ในความควบคุมของเราได้ เป็นกฎธรรมชาติ หนีไม่พ้น คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา คือไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ควบคุมไม่ได้ ในที่สุดก็พังสลาย ตายกันหมด คนเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น

การใช้คำภาวนา พระท่านไม่ได้กำหนด จะใช้อะไรก็ได้ พุทโธ ก็ได้ ธัมโม ก็ได้ สังโฆ ก็ได้ นะโมพุทธายะ ก็ได้ ยุหนอพองหนอ ก็ได้ แต่ถ้าระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยยิ่งดีมาก เพราะเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ทำจิตให้สะอาด สว่าง ไสว เบิกบาน เพราะนึกถึงผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งไปด้วย ความกตัญญูในพระองค์ท่าน จะมีแต่ความสุขความเจริญ มีเดชเดชะ เป็นที่รักของบุคคลที่ได้พบเรา ผู้ที่นึกถึงพระพุทธเจ้า ตายแล้วไปเสวยสุข สวรรค์ นิพพาน ผู้ที่ไม่ได้นึกถึงพระพุทธองค์ จิตวุ่นวายทางโลก จิตเศร้าหมอง ตายแล้วก็มีหวังไปสู่ทุคติ คือ ความทุกข์เกิดทางต่ำ เช่น นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้าเกิดเป็นคนก็เป็นคนต่ำช้า ตกยากลำบาก เพราะจิตไม่สะอาด

เริ่มต้นนั่งสมาธิ


ปล่อยวางความคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ ให้หมดไปจากใจทำสติจับความรู้สึกอยู่ที่กายอาการสามสิบสอง ทำความรู้สึกนึกคิดเห็นตัวเราว่าขณะนั่งอยู่อย่างไร
เรานั่งขาขวาทับขาซ้ายก็ทำความรู้ว่าเรานั่งขาขวาทับขาซ้าย เรานั่งมือขวาทับมือซ้ายก็รู้ว่าเรานั่งมือขวาทับมือซ้าย เรานั่งตัวตรงก็รู้ว่าเรานั่งตัวตรง เรานั่งหลับตาก็รู้ว่าเรานั่งหลับตา นึกรู้นึกเห็นตัวเราอยู่ตลอดเวลา
น้อมนึกเห็นใบหน้าของเราว่ามีลักษณะอย่างไร นึกเห็นตั้งแต่ศีรษะตลอดลงมาปลายเท้า นึกเห็นรอบตัวเองแล้วมาพิจารณาอยู่ที่ใบหน้า นึกเห็นคิ้วเห็นตา เห็นหูทั้งสองข้าง นึกเห็นปากเห็นคางนึกเห็นปลายจมูก นึกเห็นลมหายใจเข้า-ออก
หายใจเข้าก็นึกรู้ว่าเราหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก หายใจออกยาวก็รู้ว่าหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้นและออกสั้นก็รู้ว่าขณะนี้เราหายใจเข้า-ออกสั้น ทำความรู้เท่าทันลมหายใจเข้า-ออก
ทุกลมหายใจเข้า-ออกทำความรู้อยู่ที่ปลายจมูกนึกเห็นใบหน้า เรานึกเห็นอยู่ที่ปลายจมูกทุกขณะลมหายใจเข้า-ออก กำหนดอยู่ที่สองช่องจมูก หายใจเข้านึกว่า “ พุท ” หายใจออกนึกว่า “ โธ ” จนรู้อยู่แต่ “ พุท-โธ ” ทุกลมหายใจเข้า-ออกนึกเห็นแต่ปลายจมูกสว่างเสมอไป
ระยะแรกนั้นการปฏิบัติพึงกำหนดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ เพราะสติยังอ่อนอยู่ ขณะที่นั่งอยู่นั้นกายสงบก็ทำความรู้ว่า “ กายสงบ ” ใจสงบก็ทำความรู้ว่า “ ใจสงบ ” สงบอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ทำความรู้อยู่ตลอดเวลา สุขเกิดก็รู้ทุกข์เกิดก็รู้ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ ทำความรู้ทั้งกายใจอยู่อย่างนี้บางครั้งทุกข์กายแต่สุขใจก็มี คิดดีก็รู้ รู้แล้วเฉย คิดชั่วก็รู้ รู้แล้วเฉยอะไรที่เกิดขึ้นทุกอย่างทำความเฉยให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำเฉย ๆ ให้มากเท่าไร ยิ่งดี จิตจะได้ตั้งมั่นได้รวดเร็ว อยู่นาน ๆ เข้าจิตก็เกิดสมาธิ แนบแน่นจนกายเบาจิตเบา หากพลั้งเผลอไปก็ดึงสติกลับมาตั้งไว้จุดเดิมปฏิบัติอยู่เช่นนี้จนเป็นนิสัย ลมหายใจก็จะละเอียดประณีตกายก็เบาใจก็สบาย ในช่วงนี้หากคำภาวนา “ พุท-โธ ” ได้ละไปแล้วก็ให้พิจารณาลมหายใจเข้า-ออกเพียงอย่างเดียว (คำ “ พุท-โธ ” จะหยุดรำลึกไปเองโดยธรรมชาติอย่าหวนคำรำลึกหรือทวนความรู้สึกใด ๆ ขึ้นมาอีก) เมื่อกระแสกลมกลืนกันดีแล้ว จิตจะนิ่งเป็นอิสระเป็นสุขและเกิดปัญญา รู้เอง เห็นเองสัมผัสได้ด้วยจิตเอง

หมายเหตุ การปฏิบัตินั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังจนเกินไปหรืออ่อนเกินไปควรทำใจให้สบาย ๆ ปฏิบัติสม่ำเสมอ จะเวลา เช้า เย็น หรือค่ำ สุดแต่ความสะดวกของตนเอง ใช้เวลาฝึกวันแรกเพียง ๑๐-๑๕ นาที แล้ววันต่อ ๆ ไปเพิ่มขึ้นเป็นวันละ ๒๐-๓๐ นาที จนถึงวันละ ๑ ช.ม. เป็นประจำทุกวัน
ขณะปฏิบัติอย่ามุ่งจิตคิดแต่จะเห็นนิมิต เพราะอาจจะทำให้ตัวของเราสร้างจินตนาการไปเอง และปฏิบัติควรปฏิบัติทุกวันอย่างน้อยวันละครั้ง อย่าได้ขาด ครั้งละจะนานเท่าใดก็ได้ขอให้จิตสงบ แต่หากว่าในคราวใดปฏิบัติไปแล้วจิตก็ยังไม่สงบ อย่ากังวลอย่าไปท้อใจ จงปฏิบัติเรื่อย ๆ ทุกวันก็จะสมเจตนาเอง

วิธีออกจากสมาธิ

ก่อนจะเลิกนั่งสมาธิ ให้มาพิจารณากายใจของเรา ตั้งแต่เบื้องบนคือปลายผม สุดเบื้องล่างคือปลายเท้า จากเบื้องล่างคือปลายเท้าให้ถึงเบื้องบนคือปลายผม
พิจารณารู้รอบตัวเองทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมด้วยการออกจากสมาธิให้จิตของเรา
พิจารณารูปตัวเองทั้งกายภายนอกภายใน
รู้ทั่วพร้อมแล้วค่อย ๆ เคลื่อนมือขวามาวางที่หัวเข่าด้านขวา เคลื่อนมือซ้ายมาวางที่หัวเข่าด้านซ้ายแล้วค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้นมาระหว่างหน้าอก ยกมือซ้ายขึ้นมาพนมมือแบบดอกบัวตูมแผ่เมตตาไม่มีประมาณให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวร ทั้งในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบันพร้อมทั้งตั้งจิต
ขออโหสิกรรม อย่าได้เบียดเบียนและจองเวรต่อกันเลยและตั้งสัจอธิษฐานทำจิตใจตั้งมั่นอยู่
ในคุณความดีที่เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมะให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ตั้งใจอธิษฐานจิตของเราทุกครั้งเมื่อจะออกจากสมาธิ

ข้อดีที่น่าทึ่ง ของการนั่งสมาธิ

ประโยชน์ทางสุขภาพที่ได้จากการทำสมาธินั้นมีอยู่มากมาย ไม่เพียงเฉพาะแต่ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจะบรรเทาอาการได้เท่านั้น ในผู้ที่ฝึกทำสมาธิเป็นประจำยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพได้ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ การทำสมาธินั้นได้ถูกนำมาใช้กันในวงกว้างกับโรคร้ายแรงหลาย ๆ โรค โดยเฉพาะโรคที่ประสบความสำเร็จและมีการบันทึกไว้ก็คือเกี่ยวกับปัญหาทางด้านจิตใจ เช่นอาการสะเทือนใจและอื่น ๆ แล้วการทำสมาธิช่วยเรื่องสุขภาพได้อย่างไร?? ต่อไปนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่ทำสมาธิ:

*คุณจะรับออกซิเจนน้อยลง
*คุณจะหายใจได้ดีขึ้น
*การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง
*ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของหัวใจของผู้ป่วย
*ร่างกายจะพักผ่อนได้ลึกขึ้น
*ทำให้ความดันเลือดที่สูงลดต่ำลง
*ลดความกังวล
*ลดความตึงของกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดศีรษะ
*เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง
*การผลิตฮอร์โมน serotonin ช่วยให้ทำให้จิตใจดีขึ้น
*ช่วยทำให้อาการก่อนมีประจำเดือนในผู้หญิงลดลง
*ช่วยให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดหายได้เร็วขึ้น
*กระตุ้นการสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
*ช่วยให้อารมณ์คงที่ไม่แปรปรวน

ชนะความเครียด
ทุก ๆ คนล้วนมีแนวโน้มที่จะเกิดความเครียดได้จากชีวิตประจำวัน อาจเป็นจากที่ทำงานหรือที่บ้าน ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนในการจัดการกับปัญหา ความเครียดและความกังวลนั้นมีผลทำให้ระดับความดันเลือดสูงขึ้น และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจ เมื่อทำสมาธิ ความเครียดก็จะไม่ค่อยเกิดขึ้น ดังนั้นปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตก็จะไม่เกิดขึ้น

สิว
เมื่อเราจัดการกับความเครียดได้ การผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันก็จะลดลง การอุดตันก็จะน้อยลง นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำไมสิวถึงน้อยลง หน้ามันน้อยลงเมื่อเรานั่งสมาธิอยู่เป็นประจำ

ความเจ็บปวด
ผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาก็จะค่อย ๆ กลายเป็นความวิตกกังวล และทำให้ความอดทนต่อความเจ็บปวดน้อยลง โชคดีที่การทำสมาธิสามารถช่วยบรรเทาความกังวลได้ จึงช่วยลดความเจ็บปวดได้ด้วย

ป่วยเรื้อรัง
มีหลาย ๆ โรงพยาบาลที่แพทย์ใช้วิธีการให้ผู้ป่วยทำสมาธิเพื่อช่วยอาการป่วยเรื้อรัง เช่นมะเร็ง ซึ่งจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในการรักษา สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยในระยะสุดท้าย การทำสมาธิก็จะช่วยลดความกังวลและความหดหู่และเพิ่มความรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาได้

ความดันโลหิตสูง
การทำสมาธิจะให้ผลดีกับกรณีนี้มากในการช่วยลดระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยด้วยโรคนี้ ก็จะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจสำหรับกลุ่มนี้
มีหลาย ๆ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่สามารถใช้วิธีการทำสมาธิเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น เรื้อนกวาง, โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ, อาการลำไส้ปั่นป่วน, Fibromyalgia (โรคกล้ามเนื้อตึง นอนไม่หลับ) เป็นต้น เมื่อความวิตกกังวลลดลง ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจมากขึ้น และควบคุมสถานการณ์ได้ และช่วยให้รับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ดีขึ้น

http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=6202