วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

กำเนิดเปรต...ในพระพุทธศาสนา

เกี่ยวกับเรื่องกำเนิดเปรตในพระพุทธศาสนานั้น
มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสมัยที่พระพุทธองค์ ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ คือ ญาติของพระเจ้าพิมพิสารในอดีตกาล
มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าอยากจะทำบุญถวายทาน
จึงได้พร้อมใจกันอาราธนาพระสงฆ์จำนวนมากมาแล้ว จัดเตรียมอาหารอย่างดีเพื่อถวายทาน

ในระหว่างจัดเตรียมภัตตาหารสำหรับถวายพระสงฆ์อยู่นั้น
พวกเด็กๆ ลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาเห็นอาหารที่จัดเตรียมไว้สำหรับถวายพระน่าอร่อย จึงเกิดความหิว
เมื่อไม่มีใครจัดแจงให้ จึงได้พากันส่งเสียงร้องไห้ พร้อมทั้งเอ่ยปากขอกินข้าวบ้าง ขนมบ้าง ของอย่างอื่นบ้าง

ญาติๆ เห็นเช่นนั้นก็เกิดความรำคาญ และเพื่อตัดปัญหา เพราะเห็นว่าไม่น่าจะมีผลเสียอะไร
เพราะเหตุผลที่ว่า ของเหล่านั้นก็เป็นของที่พวกเขาจัดเตรียมมาเอง
จึงหยิบอาหารที่อยู่ในภาชนะซึ่งจัดเตรียมไว้ถวายพระให้เด็กกิน หนักเข้าก็เผลอหยิบกินเองบ้าง

ความจริงแม้อาหารที่ถวายพระสงฆ์ และพระสงฆ์ก็ฉันแล้ว ถ้ายังไม่ได้ลา หรือพระสงฆ์ยังไม่ได้อนุญาตให้
ใครๆ ก็ไม่สามารถหยิบมากินได้ เพราะของเหล่านั้นเป็นของบริจาคให้เป็นของสงฆ์
ใครจะคิดว่า ถึงทิ้งไว้ก็เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ควรนำมากินนำมาใช้ยังมีคุณค่ากว่า

ถือว่าเป็นความคิดที่ผิด ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเหตุผลให้เกิดประเพณีลาข้าวพระพุทธอีกเหตุผลหนึ่ง

รวมถึงการนำอาหารที่ถวายพระสงฆ์แล้วมากินมาใช้ ต้องได้รับอนุญาตจากพระสงฆ์ก่อนทุกครั้ง

สำหรับกรณีที่ญาติของพระเจ้าพิมพิสาร แรกๆ พวกเขาอาจหยิบของที่ยังไม่ได้ถวายพระสงฆ์ให้ลูกหลานกินก่อน
พร้อมทั้งหยิบกินเองบ้าง แต่หลักฐานบางแห่งพระอาจารย์ท่านอธิบายว่า
ของเหล่านั้นไม่ใช่เป็นของที่ยังไม่ได้ถวายพระอย่างเดียว
เป็นของที่พระสงฆ์ฉันแล้วแต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากพระสงฆ์ พวกเขาไปหยิบมาให้ลูกหลานกินบ้าง
หยิบกินเสียเองบ้าง บาปเกิดจากการกินอาหารที่จัดเตรียมไว้สำหรับถวายพระครั้งนั้น
ทำให้พวกเขาหลังจากตายแล้วไปบังเกิดเป็นเปรตเสวยวิบากกรรมที่ทรมาน พบกับความอดอยาก ร่างกายผอมโซ
หิวโหย ขาดอาหาร รอญาติๆ ทำบุญกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลไปให้ จึงมีชีวิตอยู่รอดตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

จนกระทั่งพวกเขารู้ว่า ญาติของตนคือพระเจ้าพิมพิสาร ได้ทำบุญครั้งใหญ่แด่พระสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ต่างก็พากันเดินทางมารอรับส่วนบุญด้วยความหวังว่า
จักได้รับความเมตตาจากญาติของตน ที่อาจกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้พวกเขาบ้าง

แต่ก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสารไม่รู้ ก็เลยไม่ได้กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปให้
พอถึงเวลากลางคืน ตกตอนดึก ก็พากันมาปรากฏกายส่งเสียงร้องครวญคราง ทำให้เกิดอาการน่าสะพรึงกลัว
ร่างกายผอมแห้ง แสดงความหิวโหยเป็นทุกข์ทรมานให้พระเจ้าพิมพิสารได้เห็น

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น
ก็ทรงหวั่นกลัววิตกกังวลว่าจักมีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับพระองค์เป็นแน่
รุ่งเช้าจึงได้เข้าไปเฝ้าทูลถามพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์มีพระดำรัสว่า
"มหาบพิตร พระองค์อย่าทรงกลัวเลย เหตุร้ายใดๆ จักไม่เกิดแก่พระองค์ เพียงแต่เปรตที่เคยเป็นญาติของพระองค์
พากันมารอรับส่วนบุญที่พระองค์ทำ แต่ไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ เมื่อพวกเขาไม่ได้รับส่วนบุญ
จึงพากันมาแสดงตนให้ได้ยินให้เห็น
หลังจากพระองค์กรวดน้ำอุทิศบุญกุศลไปให้แล้ว พวกเขาก็จะสงบหายไปเอง"

จากนั้นพระองค์ก็ทรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดให้ฟัง
พร้อมทั้งแนะนำให้กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญ ไปให้พวกเขาหลังจากทำบุญถวายทานแล้ว
เมื่อพวกเขาได้อนุโมทนาแล้วก็จักพ้นจากทุกข์ทรมาน
พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงทำตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำทุกอย่าง และได้ทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก (กรวดน้ำ)
อุทิศบุญกุศลให้ญาติๆ ในอดีตโดยตั้งจิตอธิษฐาน เปล่งคำอุทิศทานว่า

"อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ ญาตโย" แปลเป็นไทยได้ว่า
ขอตั้งจิต อธิษฐาน ด้วยทานนี้ จงเป็นที่ ปรีดิ์เปรม เกษมศานติ์ บังเกิดเพื่อ เชื้อสาย ผู้วายปราณ ให้วงวาน
หวานชื่น ทุกคืนวัน จงเป็นสุข ทุกคน ผ่านพ้นโศก ห่างหายโรค โชคดี ดังที่ฝัน ทรัพย์สินส่ง สงเคราะห์
เหมาะสมกัน บุญตามทัน บันดาล ชื่นบานเทอญ

จนกระทั่งญาติๆ ของพระองค์อนุโมทนาบุญและพ้นจากสภาพความเป็นเปรตได้ในที่สุด

จากตัวอย่างดังกล่าว ทำให้นึกถึงสภาพที่เกิดขึ้นจริงภายหลังธรณีพิบัติ (สึนามิ)
ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ถล่มอย่างหนัก และนึกหวาดกลัวแทนผู้คนหลายกลุ่มหลายคนที่สนใจแต่ประโยชน์ส่วนตัว
มองไม่เห็นหัวอกหัวใจของผู้สูญเสียอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย

เสียงร่ำไห้ด้วยความอาลัยเพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของญาติผู้ตาย ยังคงหลงเหลืออยู่ไม่จางหาย
เสียงโหยหวนร้องขอความเมตตาและความเป็นธรรม จากดวงวิญญาณกว่าครึ่งหมื่นดวง
ยังคงอยู่ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย ของผู้ยังมีชีวิตอยู่

ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว สึนามิ จะหวนกลับมาอีก แต่หวาดกลัวการกระทำของคนบางกลุ่มบางพวก
และบางคนที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ตำนานเปรตคืนชีพเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
กลัวว่าผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับในวันนี้ จะส่งผลกระทบให้กับวิถีชีวิตของพวกเขาในวันหน้า
และถ้าวันนั้นมาถึง พวกเขาจะไปเรียกร้องขอส่วนบุญจากใคร เกิดมาจนและอดเพราะเหตุใด

หลายชีวิตที่เกิดมา ยากจนดำรงชีวิตอยู่ตามสภาพหาเช้ากินค่ำ หาได้มาเท่าไรก็กินและใช้จ่ายผ่านไปวันๆ เท่านั้น
ไม่มีโอกาสเหลือเก็บเหลือออมไว้สำหรับวันหน้าได้เลย แต่ไม่ถึงกับอดไม่ถึงกับไม่มีจะกิน
ในขณะเดียวกันที่อีกหลายชีวิต เกิดมาจนยังไม่พอแถมยังไม่มีจะกินอีก ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ
ร่างกายไม่แข็งแรงมีโรคร้ายประจำตัว ไม่มีความรู้ ไม่มีอาชีพเป็นหลักยึด ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งที่แน่นอน

อย่าว่าแต่จะต้องดำรงชีวิตด้วยปัจจัย ๔ เลย แม้แต่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ที่ใช้นุ่งห่มไปวันๆ ยังหายาก
อาหารประทังชีวิตถ้าได้ข้าวสุกเย็นๆ ชืดๆ สักจานก็ถือว่า เป็นเพราะบุญหนุนส่งแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงข้าวราดแกง หรืออาหารอื่นๆ ที่คนส่วนใหญ่เขากินกันทั่วๆ ไปเลย

ที่อยู่อาศัยบางครั้งก็เป็นข้างถนนหนทางบ้าง ใต้สะพานบ้าง หรือมุมใดมุมหนึ่งของที่สาธารณะบ้าง
ไม่ต้องพูดถึงห้องแถว คอนโด หรือตึกสวยๆ หรูๆ เลย และยิ่งยารักษาโรค ยิ่งหมดโอกาส

แม้บ้านเมืองจะเจริญรุดหน้าไปไกลเพียงใด
พวกเขาก็ไม่มีโอกาส ที่จะใช้สิทธิฐานะความเป็นคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนั้นได้เลย
การดำรงชีวิตของพวกเขาเป็นอยู่ได้เพราะเศษสตางค์ เศษอาหารที่คนอื่นหยิบยื่นให้ไปวันๆ เท่านั้น
มีชีวิตอยู่ไม่ต่างไปจากเปรตเลย

ที่พวกเขาต้องเป็นเช่นนี้ เพราะในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว
ถูกความละโมบโลภมากครองใจไม่สามารถยับยั้งได้ ทำให้ต้องไปปล้น จี้ หรือลักขโมย

คนที่ถูกความโลภครองใจ มักทำให้ละเมิดศีลข้อ ๒ คือ อทินนาทาน เริ่มจากการละเมิดซ้ำๆ ซากๆ
จนกระทั่งขาดความยั้งคิด ขาดความละอาย กลายเป็นความเคยชิน
มองไม่เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง ไม่ว่าเขาจะเกิดภพใดชาติใดก็มักจะทำให้เป็นคนขัดสน
เติมไม่รู้จักเต็ม ทำมาหากินฝืดเคือง ประกอบอาชีพใดๆ ก็ประสบแต่ความล้มเหลวผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ไม่สามารถตั้งตัวได้ ตั้งแต่เกิดจนตายต้องพึ่งพาผู้อื่นดำรงชีวิต
จะได้ของกินของใช้มาก็เพราะผู้อื่นเมตตาอนุเคราะห์ให้
ชีวิตทั้งชีวิตไม่ผิดไปจากเปรต ซึ่งต้องอาศัยส่วนบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้เท่านั้น


ที่มา :http://www.komchadluek.net/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น